ธ.ก.ส.ตั้งกำไรปี’62 แค่ 8 พันล้าน ตั้งเป้าคุมเอ็นพีแอลไม่เกิน 4%

ธ.ก.ส.เฉือนกำไรอุ้มเกษตรกร คาดปีบัญชี”62 กำไรลดเหลือกว่า 8 พันล้านบาท เหตุวางแผนปล่อยกู้ 7.7 แสนล้านบาท เน้นดอกเบี้ยผ่อนปรน หวังปรับกระบวนการผลิตช่วงพักหนี้ 3 ปี ตั้งเป้าคุมเอ็นพีแอลไม่เกิน 4% พร้อมหนุนสินเชื่อปรับโครงสร้างการผลิตการเกษตรสู่ความยั่งยืน โดยใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เข้ามาปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตดั้งเดิม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุนและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้แก่เกษตรกร สถาบันเกษตรกร วงเงิน 15,000 ล้านบาท

นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ปีบัญชี 2562 (เม.ย. 62-มี.ค. 63) นี้ ธ.ก.ส.ตั้งเป้าปล่อยสินเชื่อ 770,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นสุทธิ 95,000 ล้านบาท จากสิ้นปีบัญชี 2561 มีสินเชื่อรวมที่ 1,449,504 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเงินทุนในการพัฒนาอาชีพและสร้างรายได้ที่ตรงกับความต้องการของเกษตรกรลูกค้า ขณะที่เงินฝากตั้งเป้าเติบโต 6% หรือเพิ่มสุทธิ 60,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีเงินฝากรวม 1,617,000 ล้านบาท

ส่วนหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) จะคุมให้ไม่เกิน 4% จากสิ้นปีบัญชี 2561 มีเอ็นพีแอลอยู่ที่ 3.87% ของสินเชื่อรวม ทั้งนี้ ประเมินว่าปีนี้จะมีกำไรได้กว่า 8,000 ล้านบาท ซึ่งอาจจะลดลงจากปีบัญชี 2561 ที่มีกำไรสุทธิ 9,885 ล้านบาท

“ปีนี้ เป็นปีที่ยังอยู่ในช่วงขยายเวลาพักชำระหนี้ต้นเงิน ดังนั้น การปล่อยสินเชื่อจะเป็นสินเชื่อที่ดอกเบี้ยผ่อนปรน จึงทำให้กำไรน่าจะลดลง แต่ธนาคารไม่ได้มุ่งกำไรสูงสุดอยู่แล้ว” นายอภิรมย์กล่าว

สำหรับลูกค้าเกษตรกร 3 กลุ่มที่ ธ.ก.ส.จะเข้าไปสนับสนุนเงินทุนในการพัฒนาอาชีพและสร้างรายได้ ประกอบด้วย กลุ่ม small ซึ่งเป็นลูกค้าที่ยังคงมีปัญหาด้านเงินทุนและการประกอบอาชีพ เช่น ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วงเงิน 13,000 ล้านบาท กลุ่ม smart หรือกลุ่มลูกค้าทั่วไป รวมถึงทายาทเกษตรกร วงเงิน 44,000 ล้านบาท และกลุ่ม SMAEs หรือผู้ประกอบการด้านการเกษตร กลุ่มสหกรณ์การเกษตรและวิสาหกิจชุมชนที่เป็นหัวขบวนในการเพิ่มมูลค่าผลผลิต วงเงิน 38,000 ล้านบาท

นายศรายุทธ ยิ้มยวน รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. ได้ทำ “โครงการสินเชื่อปรับโครงสร้างการผลิตการเกษตรสู่ความยั่งยืน” เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์และผู้ประกอบการ นำไปใช้ในการปรับโครงสร้างการผลิตหรือปรับเปลี่ยนการผลิตแบบดั้งเดิมไปสู่การผลิตแบบสมัยใหม่ โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มผลผลิตต่อไร่ การลดต้นทุนการผลิต การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลผลิตหรือสินค้าทางการเกษตร ยกตัวอย่างเช่น การปลูกพืชโดยใช้ระบบน้ำหยด การผสมปุ๋ยใช้เองตามค่าวิเคราะห์ดิน การผลิตโดยใช้ระบบโรงเรือนอัจฉริยะ การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในการสูบน้ำหรือแปรรูปผลิตผลทางการเกษตร การใช้โดรนในการหว่านเมล็ดพันธุ์และให้ปุ๋ย เป็นต้น รวมถึงผลิตสินค้าเกษตรที่มีโอกาสทางการตลาดโดยมีการวางแผนการผลิต การสร้างเครือข่าย เชื่อมโยงตลาดแบบครบวงจร เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันและยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร วงเงินสินเชื่อรวม 15,000 ล้านบาท ระยะเวลาการให้สินเชื่อตั้งแต่บัดนี้ จนถึง 31 มีนาคม 2564

สำหรับคุณสมบัติผู้กู้ กรณีเกษตรกร อัตราดอกเบี้ย MRR-1 (MRR ปัจจุบันร้อยละ 7 ต่อปี) ในปีที่ 1-3 และ อัตรา MRR ตั้งแต่ปีที่ 4 เป็นต้นไป กรณีเป็นสถาบันเกษตรกรและผู้ประกอบการนิติบุคคล อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตรา MLR-0.5 (ปัจจุบัน MLR ร้อยละ 5 ต่อปี) ในปีที่ 1-3 และอัตรา MLR ตั้งแต่ปีที่ 4 เป็นต้นไป ระยะเวลาชำระหนี้กรณีกู้เงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายหมุนเวียน ไม่เกิน 12 เดือนนับจากวันกู้ และกรณีกู้เพื่อลงทุน ไม่เกิน 15 ปีนับจากวันกู้ ปัจจุบัน ธ.ก.ส. ได้จ่ายสินเชื่อปรับโครงสร้างการผลิตการเกษตรสู่ความยั่งยืนไปแล้ว 6,584 ราย เป็นเงิน 3,347 ล้านบาท ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจหรือต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ ธ.ก.ส.ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือที่ Call Center 02 555 0555

“สินเชื่อตามโครงการดังกล่าวจะเข้าไปช่วยตอบโจทย์ให้ภาคเกษตรมีความมั่นคง มีความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งการแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคเกษตร และขณะเดียวกันก็เป็นการจูงใจให้ทายาทเกษตรกรหรือคนรุ่นใหม่ที่สนใจนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับเปลี่ยนและพัฒนาภาคเกษตรกรรมของประเทศให้มากยิ่งขึ้น” นายศรายุทธกล่าว