สงครามการค้าสหรัฐ-จีน ระอุ หลัง 2 ประเทศโต้กลับปรับขึ้นภาษีนำเข้า กดดันราคาน้ำมันดิบ

– ราคาน้ำมันลงดิบต่อ หลังจีนโต้กลับมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนของสหรัฐฯ มูลค่า 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (มีผล 1 ก.ย.) โดยจีนประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ มูลค่า 75,000 ล้านเหรียญฯ และให้อัตราภาษีใหม่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5-10 จากอัตราปัจจุบันกับสินค้าสหรัฐฯ รวม 5,078 รายการ ได้แก่ ถั่วเหลือง น้ำมันดิบ เครื่องบินเล็ก รวมถึงจีนจะกลับมาเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ที่ผลิตจากสหรัฐฯ ด้วย โดยอัตราภาษีใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ ในวันที่ 1 ก.ย. และ 15 ธ.ค. 62 นี้

– ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ไม่อยู่เฉยประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนอีกระลอกมูลค่า 250,000 ล้านเหรียญฯ จากเดิมที่ร้อยละ 25 เป็นร้อยละ 30 โดยให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ต.ค. 62 เป็นต้นไป ทั้งยังสั่งให้บริษัทสหรัฐฯ ที่มีฐานผลิตในจีนถอนตัวออกจากจีนโดยทันที และกลับมาผลิตสินค้าในสหรัฐฯ แทน

– ถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Jerome Powell) ในการประชุมเศรษฐกิจประจำปีที่เมืองแจ็กสัน โฮล ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมากนัก หากแต่พร้อมที่จะดำเนินมาตรการทางการเงินอย่างเหมาะสม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ นายพาวเวลล์ให้ความเห็นว่านโยบายทางการเงินอาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจระหว่างประเทศได้ อย่างไรก็ดี ร้อยละ 93.5 ของตลาดยังคงคาดว่าเฟดน่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมเดือน ก.ย. นี้

ราคาน้ำมันเบนซิน

ปรับตัวลดลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ โดยราคาได้รับแรงกดดันจากปริมาณน้ำมันเบนซินคงคลังที่สิงคโปร์ที่ล่าสุดปรับเพิ่มขึ้น ประกอบกับการส่งออกน้ำมันเบนซินของจีนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน

ราคาน้ำมันดีเซล

ปรับตัวลดลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ เนื่องจากอุปทานในตลาดยังมีอยู่ในระดับสูง อย่างไรก็ตาม ตลาดคาดว่าความต้องการใช้จากออสเตรเลียและนิวซีแลนด์มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นในช่วงเปลี่ยนฤดูกาล