“มอร์นิ่งสตาร์” เผยปี’62 เงินไหลเข้ากองทุนรวม 2.1 แสนล้าน

นางสาวชญานี จึงมานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโส บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ในปี 2562 มูลค่าเงินไหลเข้าสุทธิกองทุนรวมอยู่ที่ 2.1 แสนล้านบาท แบ่งเป็นเงินไหลเข้ากองทุนตราสารหนี้ 1.1 แสนล้านบาท กองทุนตราสารทุน 5.9 หมื่นล้านบาท กองทุนผสม 2.8 หมื่นล้านบาท ในขณะที่เป็นเงินไหลออกสุทธิกองทุนตราสารตลาดเงิน -1.4 หมื่นล้านบาท และกองทุนน้ำมันและทองคำ -967 ล้านบาท

โดยช่วงไตรมาส 4/62 มีเงินไหลเข้าสุทธิกองทุนรวมราว 1.3 แสนล้านบาท เป็นเงินไหลเข้าในกองทุนรวมตราสารหนี้ 7.3 หมื่นล้านบาท ในขณะเดียวกันกองทุนตราสารทุนมีเงินไหลเข้าสุทธิที่ 5.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งปริมาณเงินไหลเข้าที่ใกล้เคียงกันของทั้งสองประเภททรัพย์สินนี้เกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก เนื่องจากระดับความเสี่ยงที่ต่างกัน โดยหากดูในอดีตจะพบว่าหากตราสารหนี้มีเงินไหลในทิศทางใด ตราสารทุนมักจะมีเงินไหลในทิศทางตรงข้าม หรือมีการลงทุนที่น้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับเงินไหลเข้าของทั้ง 2 ประเภททรัพย์สินอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น กองทุนกลุ่มตราสารหนี้ไทยทั้งระยะสั้นและระยะกลางและยาวมีเงินไหลเข้าสุทธิสูง ซึ่งอาจเกิดจากการเข้าลงทุนก่อนที่จะได้รับผลตอบแทนน้อยลงในอนาคตจากการจัดเก็บภาษี รวมทั้งมีค่าเฉลี่ยผลตอบแทนที่น่าสนใจราว 2.5% สำหรับตราสารหนี้ระยะสั้นและ 3.5% สำหรับกลุ่มตราสารหนี้ระยะกลางและยาว

ในขณะที่มีแรงซื้อกองทุน LTF ในไตรมาสสุดท้ายในจังหวะที่ดัชนี SET Index ปรับตัวลง รวมมูลค่าเงินไหลเข้าสุทธิกองทุนทั้งปีที่ 2.1 แสนล้านบาท แบ่งเป็นเงินไหลเข้ากองทุนตราสารหนี้ 1.1 แสนล้านบาท กองทุนตราสารทุน 5.9 หมื่นล้านบาท กองทุนผสม 2.8 หมื่นล้านบาท ในขณะที่เป็นเงินไหลออกสุทธิกองทุนตราสารตลาดเงิน -1.4 หมื่นล้านบาทและกองทุนน้ำมันและทองคำ -967 ล้านบาท

ทั้งนี้ภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนรวมไทยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 5.4 ล้านล้านบาท ปรับตัวขึ้น 6.6% จากสิ้นปี 2561 โดยมีเงินไหลเข้าสุทธิรวม 2.1 แสนล้านบาท กองทุนรวมตราสารหนี้มีปริมาณเงินไหลเข้าสุทธิรวม 1.1 แสนล้านบาท และกองทุนรวมตราสารทุนมีเงินไหลเข้าสุทธิ 5.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นประเภททรัพย์สินที่ยังคงเป็นสัดส่วนหลักของตลาดกองทุนรวมไทย โดยนักลงทุนยังคงให้ความสนใจกับกองทุนที่ลงทุนในประเทศ เห็นได้จากปริมาณเงินไหลเข้าสุทธิรายกลุ่มที่ยังคงเป็นกลุ่มใหญ่กลุ่มเดิม เช่น ตราสารหนี้ไทย กองทุนผสม กองทุนหุ้นไทย ในขณะที่กลุ่มกองทุนต่างประเทศยังเป็นทิศทางเงินไหลออกสุทธิเป็นส่วนใหญ่

สำหรับผลตอบแทนเฉลี่ยกลุ่มกองทุนส่วนใหญ่ยังเป็นบวก กลุ่มกองทุนที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยระดับสูงส่วนใหญ่เป็นกองทุนที่ลงทุนต่างประเทศ หุ้นเทคโนโลยี หุ้นภูมิภาคยุโรป หุ้นสหรัฐ หุ้นจีน ในขณะที่กองทุนที่ลงทุนในประเทศให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในระดับต่ำตามสภาวะตลาดการลงทุนไทย

ส่วนกองทุน LTF แม้จะเป็นปีสุดท้ายแต่ก็ยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนไม่ต่างจากเดิมมากนัก โดยมีระดับเงินไหลเข้าสุทธิใกล้เคียงกับในอดีตและมีมูลค่าทรัพย์สินที่เติบโตขึ้นสู่ระดับสูงกว่า 4 แสนล้านบาท ทางด้านกองทุน RMF ดูเหมือนจะได้รับความสนใจมากขึ้นจากปริมาณเงินไหลเข้าที่เพิ่มขึ้นทุกปี มูลค่าทรัพย์สินสุทธิไปอยู่ที่ระดับมากกว่า 3 แสนล้านบาท

“ปี 62 อาจเรียกได้ว่าเป็นปีที่ไม่ค่อยสดใสนักสำหรับตลาดหุ้นไทย ดัชนีมีการปรับตัวไปที่ระดับสูงกว่า 1,700 จุดในช่วงสั้นๆ ตอนกลางปี ก่อนจะปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัยประกอบกัน เช่น เงินบาทที่แข็งค่าทำให้การส่งออกได้รับผลกระทบและมีการปรับคาดการณ์จีดีพีลดลง สัญญาณสินเชื่อในระบบธนาคารพาณิชย์ที่เติบโตช้าลงในไตรมาส 3/62 จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ แม้จะมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในเดือน พ.ย. แต่ดัชนีก็มีการปรับขึ้นได้เล็กน้อยก่อนจะปรับตัวลงมาปิดราคาดัชนีของปีที่ 1,579.84 จุด โดยผลตอบแทน SET TR ของปีอยู่ที่ 4.3%”

นางสาวชญานี กล่าวว่า มูลค่าทรัพย์สินสุทธิกองทุนรวมไทย (เฉพาะกองทุนเปิด ไม่รวมกองทุนปิด, ETF, REIT, Infrastructure fund) ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปิดสิ้นปีที่แล้วอยู่ที่ 4.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.5% จากสิ้นปี 61 มูลค่าทรัพย์สินกองทุนรวมตราสารหนี้ + 4.8%, ตราสารทุน +11.5%, และกองทุนผสม +14.3% มีเพียงกองทุนรวมประเภทตราสารตลาดเงินที่มีมูลค่าทรัพย์สินลดลงเล็กน้อยราว -1.2%

ส่วนแนวโน้มตลาดกองทุนรวมปีนี้น่าจะค่อนข้างทรงตัวๆ เท่ากับปีที่แล้ว เนื่องจากยังมีปัจจัยลบค่อนข้างมาก ขณะที่ความกังวลด้านเศรษฐกิจของไทยที่ยังไม่ค่อยฟื้นตัว รวมถึงตัวเลขภาคส่งออกยังไม่ดีนัก ซึ่งสะท้อนออกมาในผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) พอสมควร ซึ่งปัจจัยลบต่างๆ เหล่านี้ยังไม่เห็นว่าจะชัดเจนที่ทำให้ฟื้นตัวขึ้นมาได้ หากพิจารณาปัจจัยภายนอก (ต่างประเทศ) ขณะนี้หลายฝ่ายเริ่มผ่อนคลายข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนที่เริ่มบรรลุข้อตกลงการค้าเฟส 1 กันได้ แต่ยังต้องกังวลปัญหาความตึงเครียดตะวันออกกลางระหว่างสหรัฐกับอิหร่าน ซึ่งกระทบต่อราคาน้ำมัน และถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจกระทบภาพรวมเศรษฐกิจได้ ซึ่งค่อนข้างเป็นเซนติเมนต์เชิงลบ

ส่วนโฟลว์ในกองหุ้นประเมินว่า ด้วยจังหวะของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปัจจุบันอยู่ระดับต่ำ ทำให้นักลงทุนอาจจะสนใจกลับเข้าไปซื้อหรือลงทุน แต่จะต้องพิจารณาการลงทุนและวางแผนให้ดี ถึงแม้จะมีการสวิงบ้างระหว่างทาง ส่วนปีนี้ที่อาจจะไม่มีเม็ดเงิน LTF เข้ามาเหมือนปีที่แล้ว แต่เชื่อว่าจะมีนักลงทุนกลุ่มหนึ่งจะนำเงินไปลงทุนผ่านสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อหาผลตอบแทนสูง อาทิ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ (รีท) หรือกองทุนหุ้น


“จริงๆ ในระยะยาวการลงทุนในหุ้น จะให้ผลตอบแทนในระยะยาวที่ดีอยู่แล้ว ซึ่ง LTF ก็เป็นประสบการณ์ที่ดี ลงทุน 10 ปี ให้ผลตอบแทนกว่า 8.54% สุดท้ายนักลงทุนก็ต้องกลับมาลงทุนในตราสารทุนอยู่ดี”