CIMBT ปรับลดจีดีพีปี 63 เหลือ 2.3% ชี้ เศรษฐกิจไทยติดไวรัส-นักท่องเที่ยวจ่อหายยาว

สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย หั่นคาดการณ์จีดีพีปี 63 เหลือ 2.3% จาก 2.7% มอง 3 ปัจจัยเสี่ยง ต่างชาติชะลอลงทุน-งบประมาณล่าช้า-ไวรัสโคโรน่าระบาด กระทบนักท่องเที่ยวติดลบยาว หวั่นฉุดเศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกโตต่ำ 2% มองกนง.จ่อลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% เหลือ 0.75% แนะภาครัฐเร่งสร้างความเชื่อมั่นเอกชน-ส่งเสริมผู้ประกอบการท่องเที่ยวเร่งหาตลาดใหม่

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า สำนักวิจัยฯ ได้ปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2563 ลงจาก 2.7% เหลือ 2.3% โดยแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกของปี 2563 มีความเสี่ยงสูงที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวต่ำกว่า 2% จากปัจจัเสี่ยง 3 ปัจจัย ทั้งจากต่างชาติชะลอลงทุน งบประมาณมีความล่าช้าไม่ผ่านสภาฯ ซึ่งมีผลให้การเบิกจ่ายลดลง การลงทุนภาครัฐอาจติดลบ อีกทั้งเรื่องการระบาดของไวรัสโคโรนาในจีนและมีผู้ติดเชื้อหลายประเทศรวมทั้งไทยมีผลกระทบให้จำนวนนักท่องเที่ยวมีโอกาสติดลบยาวในช่วงครึ่งปีแรก

ทั้งนี้ จากเดิมสำนักวิจัยมองภาพเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 2.7% โดยมีปัจจัยสนับสนุน 3 ด้าน จากการย้ายฐานการลงทุน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ และการท่องเที่ยว แต่ช่วงนี้เกิดภาพที่กลับข้างกัน อย่างไรก็ดี คาดว่าปัจจัยดังกล่าวมีผลชั่วคราวคือราว 1-2 ไตรมาสและน่าจะฟื้นตัวโดยเร็ว และจะทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เหนือ 3% ในช่วงครึ่งปีหลัง

นอกจากนี้ เมื่อนโยบายการคลังไม่สามารถนำมาใช้กระตุ้น ทางคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.50% สู่ระดับ 0.75% ต่อปี โดยคาดว่าจะเริ่มลดในรอบการประชุมวันที่ 5 ก.พ.นี้ ด้านค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าต่อเนื่องได้ยาวถึงระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงไตรมาสที่ 2 นี้ก่อนจะพลิกกลับมาแข็งค่าปิดปลายปีได้ในระดับ 30.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

“เศรษฐกิจไทยตอนนี้เปรียบเหมือนคนติดไวรัสโคโรนา มี อาการไข้สูง หายใจติดขัด และไออาการไข้สูง มาจากรายได้การท่องเที่ยวที่น่าจะลดลงมากกว่า 1 แสนล้านบาท จากการหดตัวของนักท่องเที่ยวจีนและนักท่องเที่ยวต่างชาติช่วงครึ่งปีแรก หากเทียบช่วงที่ไวรัสซาร์สหรือไข้หวัดหมู H1N1 ระบาดในจีน จำนวนนักท่องเที่ยวในไทยหดตัวสูงถึง 20% แต่ในอดีตสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนมีเพียง 7% ปัจจุบันสัดส่วนนักท่องเที่ยวจีนมีมากกว่า 30% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด”

ดังนั้น หากเหตุการณ์ซ้ำรอย ผลกระทบรอบนี้จะรุนแรงกว่ารอบก่อน โดยเฉพาะม.ค.และก.พ. เป็นเดือนที่นักท่องเที่ยวจีนมาไทยมากกว่า 1 ล้านคน/เดือน ถ้านักท่องเที่ยวจีนชะลอการท่องเที่ยวออกนอกประเทศ ไทยซื่งเป็นเป้าหมายการเดินทางลำดับต้นๆ ของจีนจะได้รับผลกระทบจากรายได้การท่องเที่ยวหดตัว การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดมีโอกาสลดลงมาก เศรษฐกิจไทยมีโอกาสขยายตัวลดลงจากภาคธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร ขนส่ง ค้าปลีก อาหาร เครื่องดื่ม และธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว การที่เศรษฐกิจไทยพึ่งการท่องเที่ยวมากกว่า 10% ของ GDP หากหายไปก็เป็นไข้หนาวสั่นได้

อาการที่สองคือหายใจติดขัด จากงบประมาณที่ยังไม่ผ่านสภาฯ เดิมคาดว่างบประมาณน่าจะนำมากระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่น เร่งการเบิกจ่ายเพื่อประคองเศรษฐกิจได้ แต่วันนี้การจะทำอะไรก็ติดขัดเหมือนหายใจไม่เต็มปอดด้วยงบประมาณปีก่อนที่เหลือน้อยและไม่สามารถนำมาเร่งลงทุนโครงการใหม่สร้างความเชื่อมั่นได้เต็มที่ และอาการสุดท้ายคืออาการไอ อาจต่างจากไวรัสนี้เพราะเป็นไอแห้งๆ ด้วยภาวะภัยแล้งที่กระทบรายได้ภาคเกษตร โดยเฉพาะปริมาณน้ำในเขื่อนที่ลดลงมากในภาคกลางและภาคตะวันออก ซึ่งน่าจะกระทบปริมาณข้าว และสินค้าเกษตรอื่นๆที่สำคัญ และต้องระวังว่า ปริมาณน้ำที่ลดลงจะไม่ลามไปกระทบภาคอุตสาหกรรมในภาคตะวันออกในกลุ่มที่ต้องใช้น้ำมาก ที่สำคัญในเรื่องภัยแล้ง คือ เมื่อรายได้ภาคเกษตรหดหาย กำลังซื้อของครัวเรือนที่มีรายได้น้อยลดลง เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงที่จะชะลอโดยเฉพาะในภาคชนบทและในต่างจังหวัดมากกว่าปีก่อนๆ

“อาการของโรคเหล่านี้จะหายในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะเป็นเรื่องที่ควบคุมและแก้ไขได้ ไม่ใช่การเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจ หากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาควบคุมได้ งบประมาณผ่านสภาฯ รัฐบาลสามารถออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและเร่งลงทุนได้ เอกชนมีความเชื่อมั่น เศรษฐกิจไทยมีโอกาสทะยานได้เหนือ 3% ในครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะจากภาคการส่งออกที่จะเป็นปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจและผลักดันการลงทุนภาคเอกชนไปพร้อมกัน”

ดร.อมรเทพ มองว่า หากเปรียบเทียบปัญหาสงครามการค้าปีก่อนกับปัญหาไวรัสโคโรนาปีนี้ สงครามการค้ากระทบเศรษฐกิจไทยแรงกว่า เพราะกระทบภาคการส่งออกที่มีสัดส่วนมากกว่า 60% ของ GDP อีกทั้งมีผลต่อการจ้างงานและการบริโภคในวงกว้าง และเป็นปัญหาลากยาว ขณะที่ภัยจากไวรัสโคโรนาแม้กระทบต่อชีวิตคนแรงกว่า แต่กระทบภาคเศรษฐกิจในวงจำกัด และน่าจะควบคุมได้ภายในเวลาอันสั้น

“นอกจากลดดอกเบี้ย ปล่อยเงินบาทให้อ่อนในการประคองเศรษฐกิจแล้ว เรายังเหลือเครื่องมืออื่นอีกไหมในการกระตุ้นไม่ให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่า 2% หรือเสี่ยงต่ำสุดในรอบ 21 ไตรมาสหรือนับจากไตรมาส 4 ปี 2557 สิ่งที่ต้องทำเร่งด่วนคือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนไทยและนักท่องเที่ยวว่ารัฐบาลไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโรคได้ แม้อาจต้องสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยวบ้างในระยะสั้น แต่ก็จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นและทำให้การท่องเที่ยวฟื้นตัวได้เร็ว”

นอกจากนี้ การส่งเสริมให้ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวหาตลาดใหม่ หรือส่งเสริมให้คนไทยมาท่องเที่ยวในประเทศมากขึ้นก็นับเป็นอีกมาตรการที่จะช่วยให้ภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจฟื้นได้เร็ว ขณะที่ภาคเกษตรและปัญหากำลังซื้อในภาคชนบทที่อ่อนแอนั้นเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างระยะยาวที่น่าจะได้รับการดูแลควบคู่ไปกับการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มองการจ้างคนในพื้นที่เพื่อสร้างสาธารณูปโภคในท้องถิ่น เช่น ถนน ระบบชลประทาน ที่กักเก็บน้ำ หรือแม้แต่การสร้างที่อยู่อาศัยเพื่อดูแลผู้สูงอายุก็อาจเป็นการสร้างงานในพื้นที่ด้วยงบลงทุนที่ช่วยกระจายรายได้ด้วย

สุดท้ายในระยะสั้น จะต้องพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตของภาคเอกชน เตรียมรับมือการแข่งขันด้านการส่งออกอีกรอบในช่วงครึ่งหลังของปีเมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้น สงครามการค้าคลี่คลาย การส่งออกแม้จะเป็นความหวังแต่เราต้องผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ซึ่งจะทำได้ด้วยการลงทุนด้านเครื่องจักร วันนี้จึงเป็นโอกาสของนักลงทุนในช่วงที่มีความไม่แน่นอน ต้นทุนทางการเงินต่ำ ในการเร่งลงทุน และหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวได้เร็วในครึ่งหลังของปี