คอลัมน์ เลียบรั้วเลาะโลก โดย ขวัญใจ เตชเสนสกุล EXIM BANK
นับตั้งแต่วิกฤต Hamburger ในปี 2552 ได้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังประสบอยู่ คือ “ภาวะเงินเฟ้อต่ำ”
โดยอัตราเงินเฟ้อในหลายประเทศต่ำกว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางกำหนดไว้เป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น จีน รวมถึงไทย จนอาจกล่าวได้ว่าเป็น “new normal of prices” ทำให้ในช่วงที่ผ่านมาเริ่มมีธนาคารกลางหลายแห่งปรับลดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อลงจากกรอบเดิม เพื่อให้สอดคล้องกับบริบททางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป อาทิ นอร์เวย์ เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย รวมถึงไทย ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปเริ่มมีการพิจารณาปรับลดกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อลงเช่นกัน
จากปรากฏการณ์ “ภาวะเงินเฟ้อต่ำ” ได้มีความพยายามที่จะหาสาเหตุและที่มาของปรากฏการณ์ดังกล่าว โดยมีหลายแนวคิดที่อธิบายปรากฏการณ์เงินเฟ้อต่ำได้น่าสนใจ ได้แก่ แนวคิด “Amazon Effect” ถูกพูดถึงครั้งแรกในงานสัมมนาวิชาการของธนาคารกลางสหรัฐเมื่อปี 2561 โดยตั้งชื่อตามบริษัท e-Commerce ยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Amazon.com โดยอธิบายสาเหตุของปรากฏการณ์เงินเฟ้อต่ำทั่วโลกว่ามาจาก พฤติกรรมผู้บริโภคในการซื้อสินค้า online ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบราคาและเลือกซื้อสินค้าได้ในราคาที่ถูกที่สุด จนทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรงในหมู่ผู้ขาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันให้อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำ
แนวคิดเรื่อง “อุปทานล้นโลก” จากหนังสือ The Age of Oversupply : Overcoming the Greatest Challenge to the Global Economy ของ Daniel Alpert ผู้อำนวยการธนาคารเพื่อการลงทุน Westwood Capital ที่อธิบายว่า หลังวิกฤต Hamburger ตลาดเกิดใหม่ทั่วโลกทั้งแอฟริกา ละตินอเมริกา และเอเชีย ต่างเร่งลงทุนเพื่อพัฒนาภาคอุตสาหกรรมเพื่อยกระดับเศรษฐกิจของประเทศท่ามกลางปัจจัยหนุนจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำและเงินทุนที่ท่วมโลก ขณะเดียวกัน เทคโนโลยีการผลิตในช่วงที่ผ่านมาก็พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด ทำให้ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมรวมทั้งโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สวนทางกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ขยายตัวต่ำ ทำให้เกิดภาวะ “อุปทานล้นโลก” ดังเห็นได้จากอัตราการใช้กำลังการผลิต (capacity utilization) ของหลายประเทศทั่วโลกต่างปรับลดลงต่อเนื่อง ทั้งสหรัฐ จีน อินเดีย รวมถึงไทย สะท้อนว่าโลกกำลังเกิด “global oversupply” ส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านราคาสูงขึ้น และกดดันให้อัตราเงินเฟ้อลดต่ำลงตามไปด้วย
แนวคิดเรื่อง “ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ตกต่ำ” นับตั้งแต่สหรัฐเริ่มผลิต shale oil ได้ในปี 2553 ทำให้สหรัฐกลายเป็นผู้ผลิตน้ำมันอันดับ 1 ของโลกในปัจจุบัน ด้วยปริมาณการผลิตกว่า 12 ล้านบาร์เรลต่อวัน กดดันให้อุปทานน้ำมันโลกเพิ่มขึ้นอย่างมาก สวนทางกับอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกที่ชะลอลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำ ส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง
ในทางปฏิบัติแม้จะระบุได้ยากว่า ภาวะเงินเฟ้อต่ำทั่วโลกมาจากสาเหตุใดหรืออาจจะมาจากหลายสาเหตุก็ตาม แต่ภาวะเงินเฟ้อต่ำดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการค้าโลกอย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้ หากพิจารณาดัชนีราคาส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของโลก (World Manufacturing Price Index) ของ WTO พบว่า ราคาส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของโลกก่อนวิกฤต Hamburger เพิ่มขึ้นเฉลี่ยราวปีละ 6% ขณะที่หลังวิกฤต Hamburger ราคาส่งออกดังกล่าวเพิ่มเฉลี่ยเพียงปีละ 0.2% สะท้อนให้เห็นถึงการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้นในตลาดการค้าโลก
อย่างไรก็ตาม หากมองในมุมกลับกันสถานการณ์เงินเฟ้อต่ำที่นำไปสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของหลายธนาคารกลางทั่วโลกรวมถึงไทย ถือเป็นจังหวะของผู้ประกอบการที่จะใช้ประโยชน์จากต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลงในการปรับกระบวนการผลิตและพัฒนาสินค้าให้มีลักษณะเฉพาะ (niche) และตอบสนอง megatrends แห่งอนาคตที่ไม่ว่าเศรษฐกิจโลกจะเผชิญความไม่แน่นอนเพียงใด
แต่สินค้าดังกล่าวก็ยังเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่เสมอ
Disclaimer : คอลัมน์นี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความคิดเห็นของ EXIM BANK