ผลต่อ SET จาก Blue Wave

ตลาดหุ้นไทย
คอลัมน์ เติมความคิดพิชิตการลงทุน

เอกภาวิน สุนทราภิชาติ
บล.ไทยพาณิชย์

สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นสำคัญทั่วโลก เริ่มเห็นการพักตัวหลังจากปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้ นั่นก็เป็นเพราะว่าการปรับขึ้นได้สะท้อนปัจจัยบวกต่าง ๆ มามากพอสมควรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐ โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน และตอบรับประเด็นวัคซีนที่เริ่มเข้าสู่ตลาด

นอกจากนี้ ปัจจัยหนุนด้านการเคลื่อนไหวที่มีความผิดปกติในแรงซื้อหุ้นฟรีโฟลตต่ำอย่าง DELTA, KTC และ BAY ซึ่งเข้ามาหนุนนำดัชนีอีกแรงหนึ่งในก่อนหน้านี้ การปรับขึ้นเริ่มถูกจำกัดด้านกลุ่มพลังงาน มี upside จำกัด เช่นเดียวกัน ตามทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นมามากแล้ว ส่งผลให้นักลงทุนในตลาดเริ่มขายทำกำไร โดยมุมมอง SET คาดว่ามีโอกาสหลุดต่ำกว่า 1,500 จุด และมีแนวโน้มลงไปหาบริเวณ 1,460-1,480 จุด ส่วนกรอบบนยังถูกจำกัดบริเวณ 1,560 จุด

คอลัมน์ฉบับนี้ ผมจะมาพูดถึงประเด็น blue wave ต่อตลาดหุ้นไทย ก่อนอื่นขออนุญาตอธิบายคำว่า blue wave กันสักนิดนะครับ ซึ่งเกิดมาจากการใช้สีน้ำเงินเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตในช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งไม่เพียงแต่เลือกตัวประธานาธิบดี ยังได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาด้วย ซึ่งผลการเลือกตั้งท้ายสุดแล้ว โจ ไบเดน ซึ่งเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้ง และยังได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา มากพอที่จะมีเสียงข้างมาก ทั้งในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งถูกเรียกว่าสภาล่าง และวุฒิสภา ซึ่งถูกเรียกว่าสภาบน เท่ากับว่าพรรคเดโมแครตกุมอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งสภาล่างและสภาบน

และนั่นคือ ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า blue wave นั่นเองครับ จะเห็นว่าตลาดหุ้นตอบรับในทางบวก เนื่องจากมองว่าการออกนโยบายของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะมีความสะดวกมากขึ้นจากเสียงข้างมากของพรรคเดโมแครตที่มีอยู่ในทั้งสภาล่างและสภาบน

เมื่อเข้าใจคำว่า blue wave พอสังเขปแล้ว ในส่วนถัดไป ผมจะขอนำบทวิเคราะห์ของ SCBS ซึ่งได้ประเมินผลต่อตลาดหุ้นไทยในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ต่อประเด็น blue wave ซึ่งมีดังนี้ครับ

1) ตลาดหุ้นไทย มองผลกระทบโดยตรงจากกรณี Biden และ blue wave มีอยู่อย่างจำกัด มีแต่ผลเชิงอ้อมที่มีผลกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยและกำไรบริษัทจดทะเบียน ทั้งนี้ภาพรวมดูดีขึ้น แต่ยังไม่ได้ bullish กับตลาดไทยมากนัก โดยเชื่อว่าไตรมาส 1-2 จะเป็นช่วงที่ตลาดทำจุดสูงสุดของปีจากภาพของการแพร่กระจายวัคซีนและแนวโน้มการเปิดประเทศเป็นสำคัญ

2) กลุ่มพลังงาน คาดได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในระยะสั้น ตามทิศทางของความคาดหวังของการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก

3) กลุ่มพลังงานทางเลือก มีโอกาสที่จะประมูลงานในต่างประเทศมากขึ้นจากการหันมาใช้นโยบายพลังงานสะอาด แต่ต้นทุนทางการเงินมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

4) กลุ่มปิโตรเคมี อุปสงค์ของสินค้าปิโตรเคมีสูงขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น

5) กลุ่มธนาคาร ความสัมพันธ์ของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยและสหรัฐอยู่ในระดับสูง หากดอกเบี้ยฟื้นตัว จะทำให้ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นได้

6) กลุ่มส่งออก มีแนวโน้มได้รับแรงกดดันจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า แต่จะได้ปัจจัยบวกจากการค้าระหว่างประเทศที่ดีขึ้นมาลดผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของค่าเงิน

7) กลุ่มท่องเที่ยว หากไม่มีโควิด-19 จะได้รับผลลบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าในเรื่องอำนาจการใช้เงินของนักท่องเที่ยว

8) กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ การค้าระหว่างประเทศที่ดีขึ้นและไม่มีการกีดกัน สินค้าเทคโนโลยีจะทำให้อุปสงค์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง

9) กลุ่ม REIT อาจจะมี sentiment เชิงลบจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น ทำให้เงินปันผลของกลุ่มนี้มีความน่าสนใจลดลง

แล้วพบกันใหม่ในคราวหน้าครับ