คอลัมน์ เติมความคิดพิชิตการลงทุน เอกภาวิน สุนทราภิชาติ บล.ไทยพาณิชย์
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นสำคัญทั่วโลก เริ่มเห็นการพักตัวหลังจากปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้ นั่นก็เป็นเพราะว่าการปรับขึ้นได้สะท้อนปัจจัยบวกต่าง ๆ มามากพอสมควรแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐ โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน และตอบรับประเด็นวัคซีนที่เริ่มเข้าสู่ตลาด
นอกจากนี้ ปัจจัยหนุนด้านการเคลื่อนไหวที่มีความผิดปกติในแรงซื้อหุ้นฟรีโฟลตต่ำอย่าง DELTA, KTC และ BAY ซึ่งเข้ามาหนุนนำดัชนีอีกแรงหนึ่งในก่อนหน้านี้ การปรับขึ้นเริ่มถูกจำกัดด้านกลุ่มพลังงาน มี upside จำกัด เช่นเดียวกัน ตามทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นมามากแล้ว ส่งผลให้นักลงทุนในตลาดเริ่มขายทำกำไร โดยมุมมอง SET คาดว่ามีโอกาสหลุดต่ำกว่า 1,500 จุด และมีแนวโน้มลงไปหาบริเวณ 1,460-1,480 จุด ส่วนกรอบบนยังถูกจำกัดบริเวณ 1,560 จุด
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- อะไรทำให้ “ทองคำ” แพง สงคราม หรือการเก็งกำไร ?
คอลัมน์ฉบับนี้ ผมจะมาพูดถึงประเด็น blue wave ต่อตลาดหุ้นไทย ก่อนอื่นขออนุญาตอธิบายคำว่า blue wave กันสักนิดนะครับ ซึ่งเกิดมาจากการใช้สีน้ำเงินเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตในช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งไม่เพียงแต่เลือกตัวประธานาธิบดี ยังได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาด้วย ซึ่งผลการเลือกตั้งท้ายสุดแล้ว โจ ไบเดน ซึ่งเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้ง และยังได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา มากพอที่จะมีเสียงข้างมาก ทั้งในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งถูกเรียกว่าสภาล่าง และวุฒิสภา ซึ่งถูกเรียกว่าสภาบน เท่ากับว่าพรรคเดโมแครตกุมอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งสภาล่างและสภาบน
และนั่นคือ ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า blue wave นั่นเองครับ จะเห็นว่าตลาดหุ้นตอบรับในทางบวก เนื่องจากมองว่าการออกนโยบายของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะมีความสะดวกมากขึ้นจากเสียงข้างมากของพรรคเดโมแครตที่มีอยู่ในทั้งสภาล่างและสภาบน
เมื่อเข้าใจคำว่า blue wave พอสังเขปแล้ว ในส่วนถัดไป ผมจะขอนำบทวิเคราะห์ของ SCBS ซึ่งได้ประเมินผลต่อตลาดหุ้นไทยในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ต่อประเด็น blue wave ซึ่งมีดังนี้ครับ
1) ตลาดหุ้นไทย มองผลกระทบโดยตรงจากกรณี Biden และ blue wave มีอยู่อย่างจำกัด มีแต่ผลเชิงอ้อมที่มีผลกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยและกำไรบริษัทจดทะเบียน ทั้งนี้ภาพรวมดูดีขึ้น แต่ยังไม่ได้ bullish กับตลาดไทยมากนัก โดยเชื่อว่าไตรมาส 1-2 จะเป็นช่วงที่ตลาดทำจุดสูงสุดของปีจากภาพของการแพร่กระจายวัคซีนและแนวโน้มการเปิดประเทศเป็นสำคัญ
2) กลุ่มพลังงาน คาดได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในระยะสั้น ตามทิศทางของความคาดหวังของการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก
3) กลุ่มพลังงานทางเลือก มีโอกาสที่จะประมูลงานในต่างประเทศมากขึ้นจากการหันมาใช้นโยบายพลังงานสะอาด แต่ต้นทุนทางการเงินมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
4) กลุ่มปิโตรเคมี อุปสงค์ของสินค้าปิโตรเคมีสูงขึ้นตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น
5) กลุ่มธนาคาร ความสัมพันธ์ของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยและสหรัฐอยู่ในระดับสูง หากดอกเบี้ยฟื้นตัว จะทำให้ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นได้
6) กลุ่มส่งออก มีแนวโน้มได้รับแรงกดดันจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า แต่จะได้ปัจจัยบวกจากการค้าระหว่างประเทศที่ดีขึ้นมาลดผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของค่าเงิน
7) กลุ่มท่องเที่ยว หากไม่มีโควิด-19 จะได้รับผลลบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าในเรื่องอำนาจการใช้เงินของนักท่องเที่ยว
8) กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ การค้าระหว่างประเทศที่ดีขึ้นและไม่มีการกีดกัน สินค้าเทคโนโลยีจะทำให้อุปสงค์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ฟื้นตัวได้ต่อเนื่อง
9) กลุ่ม REIT อาจจะมี sentiment เชิงลบจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น ทำให้เงินปันผลของกลุ่มนี้มีความน่าสนใจลดลง
แล้วพบกันใหม่ในคราวหน้าครับ