เปิดมุมมองนักสถิติ ถอดแบบจำลองแพร่เชื้อโควิดต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร

นายพิเชฐ เจียรมณีทวีสิน (อาจารย์ทอมมี่) กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอคชัวเรียล บิสซิเนส โซลูชั่น (ABS) และอดีตนายกสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัย 3 สมัย

แบบจำลองของการแพร่เชื้อต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร

ทุกคนเข้าใจกันแล้วว่าคนที่ฉีดวัคซีนแล้วจะลดอัตราการตายลงอย่างมาก และจะลดอัตราการติดไปด้วย แต่จากข้อสังเกตของผมก็คือมันไม่ได้ทำให้ลดอัตราการแพร่เชื้อลงเลยครับ
ผมสังเกตเห็นว่า อัตราการแพร่เชื้อของประเทศที่ฉีดวัคซีนไปซักระยะแล้วจะเพิ่มสูงขึ้น นั่นคงเป็นเพราะสายพันธุ์เดลต้านั้นไม่แสดงอาการอยู่แล้ว
คนที่ฉีดวัคซีนเข้าไปแล้วและยิ่งเจอกับสายพันธุ์เดลต้าเข้าไปด้วย เราจะเห็นจากสถิติตอนนี้ก็คือ 80% ของคนที่ติดเชื้อนั้น จะไม่แสดงอาการเลย และจะเหมือนคนปกติทุกอย่าง ไม่ไอ ดมกลิ่นได้ปกติ อาจจะมีรู้สึกเจ็บคอบ้าง เหมือนคนปกติทั่วไป แต่คนกลุ่มนี้ก็ยังมีโอกาสไปแพร่ต่อให้คนอื่นต่อไปได้อีก ซึ่งถ้าไปแพร่โดนคนที่ฉีดวัคซีนแล้วก็กลายเป็นการกระจายเชื้อต่อไป แต่ถ้าแพร่ไปยังคนที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนก็จะทำให้เกิดคนกลุ่มหลังเกิดอาการรุนแรงได้ ซึ่งทุกคนก็รู้กันดี
ประเด็นน่าจะอยู่ที่ความเข้าใจของคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ซึ่งส่วนใหญ่มักคิดว่าคนที่ฉีดวัคซีนแล้วปลอดภัย เข้าใกล้ได้ หายห่วง และยิ่งถ้าคนกลุ่มนั้นไม่ได้แสดงอาการอะไรจากการติดเชื้อมาเพราะฉีดวัคซีนมาแล้วด้วย จึงทำให้วางใจ และต่างคนต่างประมาท ทำให้ติดเชื้อจากกลุ่มคนพวกนี้ได้ง่าย โดยเฉพาะคนที่ฉีดวัคซีนไปแล้วด้วยกันเองก็จะติดกันเอง (แบบที่ไม่แสดงอาการ) ได้ง่ายขึ้น
ในอเมริกาและอังกฤษก็จะเห็นว่าการแพร่เชื้อก็ยังคงมีให้เห็นตลอด ยิ่งฉีดวัคซีนมากขึ้นเท่าไร คนที่ฉีดวัคซีนแล้ว (โดยเฉพาะยังไม่ครบ 2 โดส + 1 เดือนรอภูมิขึ้น) ก็จะยิ่งมีโอกาสในการแพร่เชื้อกันมากขึ้น
ผมนึกถึงเรื่องที่เคยเขียนเกี่ยวกับประเด็นนี้ เมื่อ เม.ย.63 และ ม.ค.64 ว่าให้ลองนึกตามกันดูครับว่า มันจะเป็นอย่างไร ถ้าผ่านไปอีก 1-2 ปี ที่เชื้อโควิดแพร่กันไปกันมาจนเกือบครบหมดทุกคน และปรากฎการณ์ที่ความรุนแรงของเชื้อมันจะเจือจางลงเหมือนแค่ไข้หวัดธรรมดา ผมเคยเขียนสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นนี้ไว้ว่ามันเป็นสมมติฐานที่เป็นไปได้มาก เพราะไข้หวัดใหญ่วันนี้มันก็เกิดจากการกลายพันธุ์มาเรื่อยๆ เหมือนกัน ดังนั้น ประกันแบบ เจอ จ่าย จบ นั้นจะคงจะทำให้บริษัทประกันจบแบบจ่ายกันหนักพอสมควรไปเรื่อยๆ อีกระยะหนึ่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตรวจเชิงรุกของคนที่ไม่แสดงอาการนั้นสามารถทำได้โดยการซื้อชุดตรวจมาตรวจเอง ก่อนที่จะไปตรวจละเอียดจริงในภายหลัง
และยิ่งคนที่ฉีดวัคซีนเริ่มมีมากขึ้นในประเทศเท่าไร คนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนก็จะมีความเสี่ยงจากการติดเชื้อมากทวีคูณขึ้นเท่านั้น เพราะตอบยากว่าคนรอบข้างใกล้ตัวนั้นติดโควิดมาหรือไม่
โดยเฉพาะคนที่ฉีดวัคซีนไปแล้ว เท่าที่เห็นก็จะมีออกเดินทางไปทำงานหรือไปประชุมที่ออฟฟิตบ้างสัปดาห์ละครั้ง หรือเห็นออกไปจ่ายตลาดก็มี
จากข้อสันนิษฐานส่วนตัวในแบบจำลองของผมก็คือ คนที่ฉีดวัคซีนแล้วก็เหมือนมีเกราะป้องกันตัวไว้ระดับหนึ่ง (กันตายได้มาก กันติดได้นิดหน่อย) แต่สุดท้ายแล้วคนที่ฉีดวัคซีนไปแล้ว (โดยเฉพาะเพียงแค่ 1 เข็ม) ก็เป็นเหมือนที่พักให้กับเชื้อไวรัสให้มาสิงรอไว้อยู่ดี และเมื่อไปเจอกับคนอื่นไม่ว่าจะเป็นในที่ทำงานหรือกับคนในบ้านแล้ว เชื้อไวรัสก็มีโอกาสจะแพร่ไปสู่คนรอบข้างได้ และการแพร่เชื้อระหว่างคนที่ฉีดวัคซีนไปแล้วด้วยกันเองจะเกิดได้ง่ายขึ้นกว่ามาก ถ้าโชคไม่ดีเมื่อไร คนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนก็จะโดนแพร่เชื้อเข้ามาโดยไม่รู้ตัว
มันก็คงเป็นปรากฎการณ์เดียวกับตอนที่มีการแพร่กระจายของไวรัสตับอับเสบบี ที่คนที่เป็นไวรัสตับอักเสบบีแบบชนิดที่เป็นพาหะ (คือไม่แสดงอาการ) แต่สามารถติดต่อผ่านไปที่คนอื่นต่อได้
ดังนั้น ตัวเลขการแพร่เชื้อที่ผ่านมาจึงเป็นการแพร่เชื้อกันแบบเงียบๆ หลังจากที่มีคนทยอยได้รับวัคซีนกันแล้ว
ยิ่งประเทศไหนที่ “ยืดเวลาในการทยอยการฉีดวัคซีน” นานมากขึ้นเท่าไร ประเทศนั้นยิ่งจะมีตัวเลขอัตราการแพร่เชื้อที่วิ่งสูงขึ้นมากเท่านั้น และคนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนก็จะมีความเสี่ยงมากยิ่งขึ้นเมื่อสัดส่วนของคนที่ฉีดวัคซีนเริ่มมีสูงขึ้น
จากกรอบความคิดแบบนี้ จะเห็นว่าในมุมมองของแบบจำลองอัตราการติดเชื้อนี้ ถ้าจะให้ได้ผลจริงๆ ก็คือการที่ต้องฉีดวัคซีนกันตูมเดียวไปเลย การที่ยืดเยื้อทยอยฉีดนั้น จะทำให้คนที่ฉีดวัคซีนไปแล้ว สามารถมีโอกาสแพร่เชื้อต่อไปให้กับคนอื่นได้ โดยเฉพาะการที่ไม่แสดงอาการใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งทำให้ระมัดระวังได้ยากมากในการไปจำกัดการแพร่เชื้อในวงกว้าง
ผมเป็นห่วงสถานการณ์การแพร่เชื้อในตอนนี้ ซึ่งถ้าคนที่่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วเห็นด้วยกับแนวคิดของกรอบความคิดแบบนี้นั้น น่ากลัวว่ายอดการติดเชื้อต่อวัน (ประกาศอย่างเป็นทางการกัน) คงต้องพุ่งขึ้นถึง 3 หมื่นคนต่อวันเป็นแน่ และตัวเลขจริงคงจะสูงกว่านั้น
เพราะฉะนั้น คนที่ฉีดวัคซีนแล้วก็ยังมีโอกาสสามารถแพร่เชื้อต่อให้ผู้อื่นได้อีก คนที่ฉีดวัคซีนแล้วจึงต้องยิ่งระมัดระวังตัวมากกว่าคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนเสียด้วยซ้ำ เพราะคนที่ฉีดวัคซีนแล้วแทบจะไม่แสดงอาการอะไรเมื่อติดเชื้อเลย ทำให้คนที่ฉีดวัคซีนไปแล้วมีโอกาสแพร่เชื้อให้กับคนรอบข้างโดยไม่รู้ตัวมากกว่าคนที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนครับ