หุ้นไทย รับแรงหนุน ศบค.ผ่อนมาตรการ-โค้งท้ายเก็งกำไรงบฯแบงก์

ร้านอาหาร

“ฟิลลิป” ประเมินตลาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งตัวออกข้างในกรอบระหว่าง 1,650-1,665 จุด ถูกกดดันจากการปรับตัวลงของตลาดต่างประเทศและราคาน้ำมันโลกย่อตัว แต่รับแรงหนุน ศบค.ผ่อนคลายมาตรการ โค้งท้ายเก็งกำไรงบฯแบงก์ ล่าสุด 6 แบงก์ประกาศกำไรปี’64 รวมกว่า 8.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 34%

วันที่ 21 มกราคม 2565 บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) รายงานแนวโน้มตลาดหุ้นไทยว่า ดัชนี SET Index เช้านี้คาดจะแกว่งตัวออกข้างในกรอบระหว่าง 1,650-1,665 จุด แม้อาจมีแรงกดดันจากการปรับตัวลงของตลาดต่างประเทศ และราคาน้ำมันโลก WTI ที่ย่อตัวลงเล็กน้อยหลังสหรัฐเผยตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 5 แสนบาร์เรลในสัปดาห์ก่อน

สวนทางกับที่ตลาดคาดว่าจะลดลง 7 แสนบาร์เรล อย่างไรก็ดี 1.มองปัจจัยน้ำมันส่งผลกระทบไม่มาก เนื่องจากในระยะกลางถึงยาวคาดจะยังขึ้นต่อได้ด้วยปัจจัยการเมืองระหว่างประเทศ

ซึ่งล่าสุดประธานาธิบดีโจ ไบเดน คาดการณ์ว่ารัสเซียจะบุกโจมตียูเครนอย่างแน่นอน โดยสหรัฐและชาติพันธมิตรพร้อมตอบโต้เต็มที่ โดยหนึ่งในมาตรการทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะใช้ทันทีหากรัสเซียก่อสงครามคือการห้ามใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ

2.ด้านภายในประเทศกลุ่มท่องเที่ยวเปิดเมืองเตรียมฟื้นตัวหลัง ศบค.ประเมินการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนไม่รุนแรงมากและผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ อีกครั้ง

และ 3.โค้งสุดท้ายการเก็งกำไรผลประกอบการหุ้นกลุ่มธนาคารวันนี้ ยังรอผลประกอบการ KBANK และ SCB โดยรวมจึงคาดปัจจัยเหล่านี้ จะช่วยประคอง SET Index วันนี้ยืนได้ไม่หลุดแนวรับ ระหว่างรอติดตามการประกาศตัวเลขดุลการค้าของไทยเดือน ธ.ค. 64 คาดส่งออกขยายตัว 15% และนำเข้าขยายตัว 18%

โดยที่ประชุม ศบค. วานนี้มีมติผ่อนคลายมาตรการคุมเข้มโดยลดจำนวนพื้นที่ควบคุมสีส้มจาก 69 จังหวัดเหลือ 44 จังหวัด และเปิด Sandbox ในพื้นที่จังหวัดชลบุรีและตราดเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังกลับมาใช้มาตรการ Test&Go อีกครั้งเริ่มตั้ง 1 ก.พ.65 เป็นต้นไป แต่ปรับเพิ่มให้ต้องทำการตรวจหาเชื้อแบบ RT-PCR จำนวน 2 ครั้ง หลังการแพร่ระบาดของโอมิครอนไม่รุนแรง ประกอบกับอัตราการป่วยหนักและเสียชีวิตต่ำมากเทียบกับสายพันธุ์เดลต้า ปัจจัยดังกล่าวจึงหนุนกลุ่มท่องเที่ยวที่คาดว่าน่าจะเริ่มฟื้นตัวได้ตั้งแต่เดือน ก.พ. 65 เป็นต้นไป

อัพเดตผลประกอบการหุ้นธนาคารปี 64 ประกาศออกมาแล้วจำนวน 6 ธนาคาร ได้แก่ BAY, BBL, KKP, LHFG, TISCO และ TTB มีกำไรปี’64 รวมกันกว่า 8.52 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดย BBL มีกำไรโตโดดเด่นที่สุดในกลุ่มถึง 54.3% หรือมีกำไร 2.65 หมื่นล้านบาท ขณะที่ยังต้องรอติดตามผลประกอบการของธนาคารใหญ่อีก 2 แห่ง ได้แก่ KBANK และ SCB ที่ทางฝ่ายคาดกำไรปี’64 จะเติบโต 27.4% และ 34.1% ตามลำดับ

กลยุทธ์การลงทุน เลือกหุ้นรับ ศบค. ผ่อนคลายมาตรการและเริ่ม Test&Go อีกครั้งทางฝ่ายเลือก BH รวมถึงยังชอบหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและเปิดเมืองอื่น ๆ (AOT, ERW, CENTEL, MINT) ส่วนสัปดาห์หน้ารอเก็งกำไรหุ้นรับมาตรการจูงใจด้านภาษีในการซื้อยานยนต์ไฟฟ้าหรือ EV เข้าที่ประชุม ครม. คาดอนุมัติเริ่มใช้ ก.พ. 65 เป็นต้นไป (EA, GPSC)