โควิด ฉุดฐานะการเงินครัวเรือนเปราะบาง หนี้ปี64 แตะ 14.58 ล้านล้านบาท

หนี้ครัวเรือน
FILE PHOTO : Mladen ANTONOV / AFP

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผยสัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทยปี 64 ขยับขึ้นมาที่ 90.1% ต่อจีดีพี ดันยอดคงค้างเงินกู้ยืมของภาคครัวเรือนเติบโตต่อเนื่องที่ 3.9% อยู่ที่ 14.58 ล้านล้านบาท สูงกว่าเศรษฐกิจที่เติบโตช้ากว่า

วันที่ 1 เมษายน 2565 จากข้อมูลเงินให้กู้ยืมแก่ภาคครัวเรือนที่ธปท. รายงานออกมาล่าสุด ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนไทยในปี 2564 ขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 14.58 ล้านล้านบาท เติบโตขึ้นประมาณ 3.9% ใกล้เคียงกับการเติบโตของยอดคงค้างหนี้ในปี 2563 ที่ 4.0%

อย่างไรก็ดี เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2564 ยังคงเติบโตช้า ทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี ณ สิ้นปี 2564 ยังคงขยับสูงขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 90.1% จากระดับ 89.7% ในปี 2563

ในโครงสร้างหนี้ครัวเรือนภาพรวม ณ สิ้นปี 2564 หนี้ส่วนใหญ่ของครัวเรือน 3 อันดับแรกยังคงเป็น [1] เงินกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งมีสัดส่วน 34.5% ของหนี้ครัวเรือนรวม [2] เงินกู้เพื่อการประกอบธุรกิจ สัดส่วน 18.1% ของหนี้ครัวเรือนรวม และ [3] เงินกู้เพื่อซื้อหรือเช่าซื้อรถยนต์/รถจักรยานยนต์ สัดส่วน 12.4% ของหนี้ครัวเรือนรวม

อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า ประชาชนรายย่อยและภาคครัวเรือนมีการพึ่งพาบริการสินเชื่อที่ไม่ต้องใช้หลักประกันในการกู้ยืม เช่น บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลมากขึ้น (สัดส่วนหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลขยับขึ้นมาที่ 8.0% ของหนี้ครัวเรือนรวมในปี 2564 จากที่มีสัดส่วนประมาณ 7.0% ของหนี้ครัวเรือนรวมในปี 2562

ซึ่งเป็นช่วงก่อนโควิด-19) เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องและแก้ไขปัญหารายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย เพราะภาพรวมเศรษฐกิจและรายได้ของภาคครัวเรือนในหลายๆ ส่วน ยังคงไม่ฟื้นตัวขึ้นจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ลากยาวยืดเยื้อ

ครัวเรือนมีหนี้สูงขึ้นจากผลกระทบโควิด

แม้ในภาพรวมทั้งประเทศเงินออมของภาคครัวเรือนซึ่งอยู่ในรูปเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจจะขยับขึ้นต่อเนื่องจากระดับ 12.28 ล้านล้านบาทในปี 2563 มาอยู่ที่ประมาณ 12.87 ล้านล้านบาทในปี 2564 คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 79.5% เมื่อเทียบกับจีดีพี และ 88.2% เมื่อเทียบกับยอดคงค้างหนี้ครัวเรือน แต่คงต้องยอมรับว่า หากมองภาพในระดับครัวเรือน สถานะทางการเงินและระดับเงินออมของแต่ละครัวเรือนย่อมมีความแตกต่างกัน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินสถานการณ์ทางการเงินของภาคครัวเรือนไทยจากข้อมูลผลสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนปี 2564 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ฐานะทางการเงินในระดับครัวเรือนมีสัญญาณอ่อนแอและมีหนี้สูงขึ้นจากผลกระทบของโควิด-19 ที่ระบาดยืดเยื้อ โดยแม้ครัวเรือนไทยในปี 2564 จะมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 27,352 บาทต่อเดือน ขยับขึ้นเมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ยที่ 26,018 บาทต่อเดือนในปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนโควิด

แต่ภาระค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของครัวเรือนก็ขยับสูงขึ้นตามมาอยู่ที่ 21,616 บาทต่อเดือนด้วยเช่นกัน (จาก 20,742 บาทต่อเดือนในปี 2562) โดยค่าใช้จ่ายของครัวเรือนดังกล่าว คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 79% ต่อรายได้ต่อเดือน ซึ่งสะท้อนว่า หากครัวเรือนมีภาระอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ภาระผ่อนหนี้ ก็จะทำให้มีเงินเหลือสำหรับเก็บสะสมเป็นเงินออมน้อยลง

ข้อมูลในฝั่งหนี้สิน ก็สะท้อนว่า ครัวเรือนไทยมีฐานะทางการเงินที่เปราะบางมากขึ้น โดยในผลสำรวจฯ พบว่า สัดส่วนครัวเรือนที่มีหนี้ขยับขึ้นจาก 45.2% ในปี 2562 มาที่ 51.5% ในปี 2564 โดยหนี้ที่เพิ่มขึ้นนั้นบางส่วนมาจากแหล่งกู้เงินนอกระบบ โดยหากพิจารณาเฉพาะครัวเรือนที่มีหนี้สินในปี 2564 พบว่า สัดส่วนครัวเรือนที่มีหนี้สินนอกระบบอย่างเดียว และสัดส่วนครัวเรือนที่มีหนี้สินทั้งในและนอกระบบขยับขึ้นมาที่ 5.2% และ 4.0% จากที่มีสัดส่วน 4.7% และ 3.5% ในปี 2562 ตามลำดับ

นอกจากนี้ระดับหนี้สินเฉลี่ยยังเพิ่มสูงขึ้นเร็วกว่ารายได้ของครัวเรือนด้วยเช่นกัน โดยจำนวนหนี้สินเฉลี่ยของครัวเรือนอยู่ที่ 205,679 บาทในปี 2564 เพิ่มขึ้น 1.25 เท่าเมื่อเทียบกับระดับหนี้สินเฉลี่ยต่อครัวเรือนที่ 164,005 ในปี 2562 ขณะที่รายได้เฉลี่ยของครัวเรือนในช่วงเวลาเดียวกันเพิ่มขึ้นเพียง 1.05 เท่า เท่านั้น

ภาพอีกด้านหนึ่งจากข้อมูล ณ เดือนม.ค. 2564 จาก ธปท. ก็สะท้อนว่า มีประชาชนรายย่อยอีกกว่า 4.34 ล้านบัญชีที่ยังคงอยู่ภายใต้มาตรการช่วยเหลือของธนาคารพาณิชย์ นอนแบงก์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (ในจำนวนนี้ประมาณ 73.6% เป็นบัญชีสินเชื่อส่วนบุคคล หรือประมาณ 3.19 ล้านบัญชี)

ขณะที่แม้ว่ายอดภาระหนี้รายย่อยที่ยังคงอยู่ในมาตรการฯ จะทยอยปรับลดลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงการระบาดของโควิดระลอกแรก มาอยู่ที่ 1.60 ล้านบาท แต่คงต้องยอมรับว่า ยอดภาระหนี้ภายใต้มาตรการดังกล่าว ยังคิดเป็นสัดส่วนราว 16.2% ของสินเชื่อรายย่อยรวมของธนาคารพาณิชย์ นอนแบงก์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ

ภาพดังกล่าวตอกย้ำว่า ฐานะทางการเงินของภาคครัวเรือนและประชาชนรายย่อย ยังคงมีความอ่อนไหวต่อสภาวะผันผวนและไม่แน่นอนของเส้นทางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงทิศทางดอกเบี้ยที่อาจเริ่มขยับขึ้นในอนาคต

สำหรับแนวโน้มในปี 2565 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีอาจชะลอลงมาที่กรอบ 86.5-88.5% เนื่องจากมูลค่าจีดีพีโตสูงตามภาวะเงินเฟ้อ แต่ประเด็นหนี้สูงยังคงเป็นปัจจัยฉุดรั้งการบริโภคของครัวเรือน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนไทยจะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงในกรอบประมาณการที่ 86.5-88.5% ต่อจีดีพีในปี 2565 โดยมีค่ากลางกรณีพื้นฐานที่ 87.5% ต่อจีดีพี ซึ่งแม้สัดส่วนดังกล่าวจะต่ำลงเมื่อเทียบกับระดับ 90.1% ต่อจีดีพี ณ สิ้นปี 2564 แต่ก็ยังนับว่าเป็นสัดส่วนหนี้ครัวเรือนที่ค่อนข้างสูง ประกอบกับสาเหตุสำคัญที่ทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีย่อตัวลงมานั้น มาจากการที่จีดีพี ณ ราคาประจำปี หรือ Nominal GDP มีแนวโน้มเติบโตสูงจากผลของภาวะเงินเฟ้อที่เร่งตัว ไม่ได้เป็นผลมาจากหนี้สินของครัวเรือนที่ปรับลดลง

หรืออีกนัยหนึ่ง ก็คือ ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนไทยในปี 2565 จะยังคงเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวในกรอบจำกัด ย่อมทำให้ประชาชน/ครัวเรือนรายย่อยยังคงมีความจำเป็นต้องพึ่งพาเงินกู้มาเสริมสภาพคล่องหรือเป็นเงินทุนหมุนเวียนในระยะสั้น

ขณะที่ครัวเรือนที่มีกำลังซื้อและมีแผนที่จะซื้อที่อยู่อาศัยอาจเร่งตัดสินใจก่อนที่แนวโน้มดอกเบี้ยไทยจะเปลี่ยนเป็นขาขึ้น

โดยสรุป สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพียังคงขยับสูงขึ้นมาที่ระดับ 90.1% ในปี 2564 จากระดับ 89.7% ในปี 2563 และสำหรับในปี 2565 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนไทยจะยังคงขยับขึ้นต่อเนื่อง

แต่เมื่อเทียบกับมูลค่าเศรษฐกิจที่วัดจาก Nominal GDP ที่เติบโตสูงตามภาวะเงินเฟ้อ ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนอาจชะลอลงมาอยู่ที่กรอบ 86.5-88.5% ต่อจีดีพี อย่างไรก็ดี สัดส่วนหนี้ครัวเรือนดังกล่าวยังคงเป็นระดับสูง และเป็นหนึ่งในปัญหาเชิงโครงสร้างที่กดดันการบริโภคของครัวเรือนและเศรษฐกิจในภาพรวม

ภายใต้สภาวะที่การเติบโตของมูลค่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นผลมาจากแรงผลักดันของภาวะเงินเฟ้อสูงมากกว่าการฟื้นตัวอย่างแท้จริงของเศรษฐกิจทำให้โจทย์เฉพาะหน้าของครัวเรือนไทยที่เป็นหนี้ยังคงเป็นการดูแลบริหารจัดการภาระค่าใช้จ่ายให้สอดคล้องกับกระแสรายรับ/รายได้ของครัวเรือนเพื่อให้ยังคงมีความสามารถในการชำระคืนหนี้

ทั้งนี้แม้ว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงที่ไทยเผชิญจะไม่แตกต่างไปจากประเทศอื่นๆ แต่เนื่องจากการหยั่งลึกของผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ภาคครัวเรือนไทยมีฐานะทางการเงินอ่อนแอลง

ดังนั้นการแก้ไขปัญหาหนี้สินของภาคครัวเรือนซึ่งเป็นจุดเปราะบางหนึ่งของโครงสร้างเศรษฐกิจไทยนั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ต้องมีความต่อเนื่องแล้ว ยังจะต้องใช้เวลา

เพราะหนี้ครัวเรือนเชื่อมโยงกับปัญหาเศรษฐกิจการเงินในระดับครัวเรือนและประชาชนรายย่อยอีกหลายด้าน ทั้งปัญหาความสามารถในการหารายได้เพื่อเลี้ยงชีพซึ่งจะมีผลช่วยชะลอการก่อหนี้ใหม่และการแก้ไขภาระหนี้สินเดิมที่อยู่ในระดับสูงซึ่งกระทบคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ในปัจจุบัน

ประเด็นหนึ่งซึ่งอยู่ในแนวนโยบายภูมิทัศน์ใหม่ภาคการเงินไทยของธปท. ที่เป็นส่วนสำคัญในช่วยดูแลปัญหาหนี้ครัวเรือน ก็คือ การขยายขอบเขตการกำกับผู้ให้บริการสินเชื่อรายย่อยในลักษณะ activity-based เพื่อให้ครอบคลุมไปถึงผู้ประกอบการกลุ่มอื่นๆ ที่เป็นแหล่งกู้เงินของภาคครัวเรือน

ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนรายย่อยได้รับความคุ้มครอง ควบคู่กับการดูแลเสถียรภาพระดับมหภาค ขณะที่ผู้ให้บริการสินเชื่อก็จะดำเนินตามแนวทางการปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบโดยให้มั่นใจว่าลูกหนี้จะมีรายได้เหลือเพียงพอต่อการดำรงชีพ และไม่มีพฤติกรรมการก่อหนี้ที่ไม่พึงประสงค์เช่น การกู้วนเพื่อรีไฟแนนซ์หนี้เดิม

นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างหนี้ครัวเรือนตั้งแต่ช่วงหลังปี 2559 เป็นต้นมา สะท้อนว่า สัดส่วนหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มมากขึ้นจาก 6.0% ในปี 2559 มาที่ 8.0% ในปี 2564 สวนทางกับสัดส่วนสินเชื่อเพื่อการประกอบอาชีพที่ทยอยปรับลดลงจาก 19.3% ปี 2559 มาที่ 18.1% ในปี 2564


ซึ่งภาพดังกล่าวน่าจะสะท้อนว่า อาจต้องมีเกณฑ์ที่เข้ามาดูแลเพื่อช่วยลดการก่อหนี้โดยไม่จำเป็นของครัวเรือน และช่วยเพิ่มการเข้าถึงสินเชื่อให้แก่ภาคครัวเรือนที่เป็นหนี้เพื่อการประกอบอาชีพ เป็นต้น