สภาธุรกิจตลาดทุน ร่อนหนังสือคลัง ค้านเก็บภาษีขายหุ้น

หุ้น

บอร์ดสภาธุรกิจตลาดทุนไทย อนุมัติจัดทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรส่งถึงกระทรวงคลัง ยืนยันค้านเก็บภาษีขายหุ้น หวั่นกระทบนักลงทุน 19 ล้านคน

วันที่ 5 พฤษภาคม 2565 นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย(FETCO) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการเฟทโก้ได้มีมติอนุมัติให้จัดทำหนังสือยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษร ไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เรื่องความเห็นต่อการเรียกเก็บภาษีการขายหุ้นในตลาดหุ้นไทย เพื่อแสดงเจตนารมย์ของภาคธุรกิจ

โดยขอเสนอความคิดเห็น 5 ประเด็นต่อแนวทางที่ภาครัฐจะเรียกเก็บภาษีการขายหุ้นในตลาดหุ้นไทย โดยจะจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะ 0.1% ของมูลค่าขายตั้งแต่บาทแรก มีรายละเอียดดังนี้

1.เฟทโก้ไม่เห็นด้วย ที่จะมีการเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหุ้น เนื่องจากจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสภาพคล่องของตลาด เป็นภาระและส่งผลกระทบต่อการซื้อขาย รวมถึงด้อยค่าหุ้นที่ผู้ถือหุ้นถือครองอยู่ โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนรายย่อยกว่า 2 ล้านคน ที่ลงทุนทางตรงในตลาดหุ้นไทย และอีก 17 ล้านคนที่ลงทุนทางอ้อมผ่านกองทุนรวมและกองทุนสวัสดิการต่างๆ รวมถึงกระทบไปถึงนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างประเทศด้วย

ทั้งนี้จากการศึกษาในต่างประเทศ พบว่าการเก็บภาษีดังกล่าวจะส่งผลให้ประชาชนต้องออมเพิ่มขึ้นอีก 2-3 ปี เพื่อให้มีเงินเพียงพอในยามเกษียณ ซึ่งเห็นผลของการกระทบในวงกว้างที่ชัดเจน

“สภาพคล่องเป็นหัวใจสำคัญของตลาดทุน ถ้ามีมาตรการที่เข้ามากระทบสภาพคล่องอย่างรุนแรง ถือว่าน่าจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี เพราะตลาดทุนที่ไม่มีสภาพคล่องเพียงพอหรือลดลงไปจะทำให้ความน่าสนใจลดลง และจะกระทบเป็นลูกโซ่ โดยเฉพาะมูลค่าหุ้นต่างๆ มีโอกาสลดลงได้” นายไพบูลย์ กล่าว

2.ภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นจะเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้นสำหรับ Market Markers ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตลาดทุนใหม่ๆ โดยเฉพาะ Derivative Wartant และ Single Stock Futures ซึ่งอ้างอิงหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ จะส่งผลต่อการพัฒนานวัตกรรมและขีดความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทยใน
เวทีโลก ทำให้พัฒนาการต่อตลาดหุ้นไทยอาจถอยหลังไปได้

3.ตลาดหลักทรัพย์ในประเทศที่พัฒนาแล้ว หากจัดเก็บภาษี จะนิยมให้การยกเว้นแก่กลุ่ม Market Markers เช่น ฮ่องกง อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน และกลุ่มกองทุนรวม กองทุนบำนาญ กองทุนสวัสดิการ เช่น อิตาลี สวิตเซอร์แลด์ เบลเยี่ยม ไอซ์แลนด์ เพื่อลดผลกระทบต่อการออมการลงทุนของประชาชนในวงกว้าง และต่อการพัฒนาเชิงนวัตกรรมของตลาดหลักทรัพย์ในประเทศ

ทั้งนี้ ในกรณีของประเทศไทย นักลงทุนทั้ง 2 กลุ่มทำธุรกรรมขายรวมกัน 12-17% ของมูลค่าขายทั้งหมดในตลาด (สถาบันในประเทศ 7% และ Market Markers 5-10%) ดังนั้นการให้ยกเว้นภาษีต่อไปถือว่าคุ้มค่าหากเปรียบเทียบเม็ดเงินภาษีดังกล่าวกับผลประโยชน์ในวงกว้างต่อประชาชนและการพัฒนาศักยภาพของตลาดหุ้นไทยในระยะยาว

4.อัตราภาษีธุรกิจเฉพาะ 0.1% ถูกกำหนดขึ้นตั้งแต่ปี 2534 เมื่ออัตราค่าคอมมิชชั่นอยู่ที่ระดับ 0.5% อย่างไรก็ดีจากสภาวะการแข่งขันทั้งในและต่างประเทศที่มีมากขึ้น อัตราค่าคอมมิชชั่นจึงลดลงเหลือเพียง 0.08% ในปัจจุบัน ดังนั้นมูลค่าภาษีที่จัดเก็บตามอัตราภาษีที่ 0.1% และเมื่อรวมภาษีท้องถิ่นอีก 0.01% เป็น 0.11% จะสูงถึง 0.7 เท่าของมูลค่าค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่จัดเก็บในปัจจุบัน จึงจะส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อขายอย่างมีนัยสำคัญ

โดยเฉพาะในภาวะที่ตลาดทุนทั่วโลกมีความผันผวนสูงจากสถานการณ์โควิดและสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมทั้งการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ(Fed) ส่งผลให้ดัชนีหุ้นทั่วโลก อัตราเลกเปลี่ยน และเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเหศ มีความผับผวนมาก การจัดเก็บกาษีดังกล่าวจะเป็นการตอกย้ำความผันผวนดังกล่าว

5.ต้นทุนการระดมทุน (cost of capital) ที่สูงขึ้นเมื่อสภาพคล่องในตลาดลดลง จะทำให้บริษัทจดทะเบียนชะลอหรือลดการลงทุนและขยายธุรกิจ ทำให้มีกำไรลดลง ท้ายที่สุด productivity และ GDP ของประเทศ รวมตลอดถึงภาษีนิติบุคคลที่บริษัทจ่ายได้ให้ภาครัฐจะลดลงตามไปด้วย ทั้งนี้ผลเสียจะกระทบแรงกับกลุ่มบริษัทขนาดกลางและเล็กที่มีทางเลือกของแหล่งเงินทุนที่จำกัดมากอยู่แล้วในปัจจุบัน


“เรายังยืนยันที่จะไม่สนับสนุนการเรียกเก็บภาษีการขายหุ้นในตลาดหุ้นไทย โดยหลังจากได้ส่งหนังสือผ่านทางอีเมล์ไปถึงกระทรวงการคลังแล้ว คงต้องรอทางคลังติดต่อกลับมาก่อน โดยที่ผ่านมาเราได้เข้าไปพููดคุยหารือมาแล้ว 2-3 รอบ อย่างไรก็ดีหากคลังยืนยันจะจัดเก็บภาษีการขายหุ้น เราเป็นผู้ปฏิบัติก็ต้องทำตามกฏ แต่ก็หวังว่าคลังจะทบทวน” นายไพบูลย์ กล่าว