ไทยกรุ๊ป โฮลดิ้งส์เปิดเผยรายงานประชุมผู้ถือหุ้น เล็งรีแบรนดิ้ง “อาคเนย์ประกันชีวิต” ว่าจ้างที่ปรึกษา Boston Consulting Group ช่วยวางแผน-ปฏิรูปองค์กรใหม่ เน้นดำเนินธุรกิจยั่งยืน-ไม่เสี่ยง พร้อมขออนุมัติผู้ถือหุ้นเพิ่มทุนจดทะเบียนรองรับแผนธุรกิจใหม่
วันที่ 11 พฤษภาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของบริษัท ไทยกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TGH ธุรกิจประกันและการเงินกลุ่มเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี
โดยปี 2564 มีผลขาดทุนสุทธิ 3,260 ล้านบาท เนื่องจากผลของธุรกิจประกันวินาศภัย (อาคเนย์ประกันภัย และไทยประกันภัย) ได้รับผลกระทบหนักจากผลขาดทุนจ่ายเคลมประกันภัยโควิด จนเป็นเหตุให้ คปภ.ต้องสั่งเพิกถอนใบอนุญาตไปเมื่อวันที่ 1 เมษยน 2565 ที่ผ่านมา โดยสัดส่วนรายได้ของธุรกิจประกันวินาศภัย คิดเป็น 35% ของรายได้รวม TGH
ทั้งนี้ ในรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2565 ทางนายโชติพัฒน์ พีชานนท์ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TGH ได้ชี้แจงแก่ผู้ถือหุ้นว่า จากสถานการณ์ของบริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ในช่วงต้นได้ส่งผลกระทบต่อยอดขายของบริษัทอาคเนย์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) โดยมีลูกค้าบางส่วนขอเวนคืนกรมธรรม์
ซึ่งทีมผู้บริหารได้ชี้แจงลูกค้าว่า ธุรกิจประกันชีวิตแยกจากธุรกิจประกันภัย ประกอบกับบริษัท อาคเนย์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) มีทุนจดทะเบียนและอัตราส่วนเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฎหมาย (CAR Ratio) ที่แข็งแกร่ง จึงไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัท อาคเนย์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)
ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นได้สอบถามถึงบริษัทที่จะมีแผนการรีแบรนดิ้ง (Rebranding) หรือไม่นั้น นายโชติพัฒน์กล่าวว่า การ Rebranding ในอนาคตจะมีการพิจารณาอีกครั้งว่าจะใช้แบรนด์ใด ซึ่งจะมีการปรึกษาบริษัทที่ปรึกษาเพื่อให้คำแนะนำต่อไป
นอกจากนี้ นายโชติพัฒน์ยังได้ชี้แจงผู้ถือหุ้นอีกว่า จากสถานการณ์ของบริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ที่ผ่านมา บริษัทให้ความสำคัญต่อการบริหารความเสี่ยง จึงได้จัดจ้างบริษัทที่ปรึกษา Boston Consulting Group Company Limited (BCG) เพื่อวางแผนและปฏิรูปองค์กร โดยคำนึงถึงความเสี่ยงเพื่อปรับใช้กับองค์กร ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการ ในอนาคตบริษัทจะมีแผนที่ชัดเจน เพื่อการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนต่อไป
ทั้งนี้เพื่อเป็นการรองรับแผนธุรกิจที่จะมีขึ้นต่อไป กลุ่มบริษัทอาจมีความจำเป็นที่ต้องใช้เงินทุนเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของบริษัทย่อยและบริษัทในเครือ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มสภาพคล่องและรองรับการขยายธุรกิจของบริษัท
โดยเพิ่มความสามารถและความคล่องตัวในการจัดหาเงินจากตลาดทุนได้อย่างเหมาะสม ในกรณีที่บริษัทมีความจำเป็นต้องใช้เงินลงทุน คณะกรรมการจึงมีมติเห็นชอบให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate)
จำนวน 4,512 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 7,520 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่ 12,033 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน 451 ล้านหุ้น ซึ่งมีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ10 บาท และเพื่อให้สอดคล้องกับการเพิ่มทุนของบริษัท
อย่างไรก็ดี มีผู้ถือหุ้นสอบถามเพิ่มเติมว่า บริษัทมีแผนและรายละเอียดการใช้เงินเพิ่มทุนอย่างไร และจะเพิ่มทุนในช่วงเวลาใด โดยนายอานนท์ ชนไมตรี นักลงทุนสัมพันธ์ชี้แจงว่า บริษัทขอเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไป (General Mandate) ซึ่งยังไม่มีแผนและรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้เงินเพิ่มทุน บริษัทขอเพิ่มทุนเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อม หากบริษัทมีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนเป็นการเร่งด่วน ซึ่งขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและแผนธุรกิจของบริษัท โดยจะมีการพิจารณาในช่วงเวลาที่จำเป็นและเหมาะสม เพื่อเสนอคณะกรรมการบริษัทพิจารณาต่อไป