หุ้น-การเงิน

บัตรเครดิตคึก ยอดใช้จ่ายฟื้น จับตานโยบายคุม ‘หนี้ครัวเรือน’

บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

ธุรกิจบัตรเครดิตปี’65 ฟื้นคาดยอดใช้จ่ายทั้งปีโต 15% ปัจจัยบวกโควิด-19 คลี่คลาย“เซ็นทรัล เดอะวัน” เผยลูกค้ากลุ่มพรีเมี่ยมหนุนการเติบโตไตรมาสแรก ตั้งเป้าดันยอดใช้จ่ายผ่านบัตรปีนี้โต 16% จับตานโยบายคุมหนี้ครัวเรือน

นายอธิศ รุจิรวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเนอรัล คาร์ด เซอร์วิสเซส จำกัด (GCS) ผู้ให้บริการบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน เปิดเผยว่า ธุรกิจบัตรเครดิตในปี 2565 มีทิศทางการฟื้นตัว เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายดีขึ้น ไม่น่ามีมาตรการล็อกดาวน์อีก จึงเป็นผลบวกต่อธุรกิจบัตรเครดิต

โดยตอนนี้เริ่มเห็นสัญญาณการแข่งขันในตลาดกลับมา อย่างไรก็ดี ยังคงมีปัจจัยที่เฝ้าระวังอยู่ ทั้งในส่วนของเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และ ความกังวลต่อหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง อาจจะมีผลต่อแนวนโยบายการควบคุมดูแลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

ทั้งนี้ ภาพรวมธุรกิจบัตรเครดิตทั้งระบบปีนี้ คาดว่าจะมียอดการใช้จ่ายผ่านบัตร (Spending) อยู่ที่ 12-15% จากไตรมาสที่ 1/2565 ขยายตัวแล้ว 5-10% และบัตรใหม่เติบโต 10-15% จากไตรมาส 1/2565 เติบโตแล้ว 15-20%

“บัตร GCS ซึ่งเป็นบัตรร่วมพันธมิตร (Co-Brand) เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวตั้งแต่ปีก่อน เร็วกว่ากว่าบัตรทั่วไป โดยมาจาก 4 ปัจจัย คือ 1.ศักยภาพของพันธมิตรเซ็นทรัล กรุ๊ป ที่เป็นยักษ์ใหญ่ธุรกิจค้าปลีกและการเงิน 2.สิทธิประโยชน์ที่ค่อนข้างดี 3.การเข้าถึงข้อมูลซึ่งทำโปรโมชั่นได้โดนใจลูกค้า

และ 4.มีสัดส่วนลูกค้าระดับพรีเมี่ยม ทำให้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ค่อนข้างน้อยกว่ากลุ่มลูกค้าทั่วไป ทำให้ยอดการใช้จ่ายมีการเติบโตได้ค่อนข้างดี”

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2565 ของ GCS มียอดสินเชื่อคงค้างที่ 2.1 หมื่นล้านบาท เติบโต 4.4% จากเป้าหมายสิ้นปีอยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 10% จำนวนบัตรใหม่ 1.95 หมื่นใบ เติบโต 21%

จากเป้าหมาย 8.12 หมื่นใบ หรือเติบโต 52% และ ยอดใช้จ่ายผ่านบัตร (สเปนดิ้ง) ที่ 2.1 หมื่นล้านบาท เติบโต 17% จากเป้าหมายทั้งปีอยู่ที่ 8.82 หมื่นล้านบาท หรือขยายตัว 16%

“ในช่วง 3 เดือนแรกจะเห็นว่ายอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเติบโตค่อนข้างดี ส่วนหนึ่งมาจากฐานลูกค้าระดับบนพรีเมียมที่ช่วยหนุนการเติบโต 30% บนฐานบัตรรวมทั้งหมด ขณะที่บัตรกลุ่มลูกค้าทั่วไปมีอัตราการเติบโตทรงตัว หรือขยายตัวเพียงเล็กน้อยประมาณ 3%”