หนี้ครัวเรือนพุ่ง 14.58 ล้านล้านบาท “สภาพัฒน์” จับตาหนี้เสียรถยนต์

รถยนต์
แฟ้มภาพ

สภาพัฒน์เผยหนี้ครัวเรือนไตรมาส 4 ของปี’64 มูลค่า 14.58 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 90.1% จับตารายได้ครัวเรือนยังไม่ฟื้น กระทบความสามารถในการชำระหนี้ ชี้สินเชื่อรถยนต์ ค้างชำระไม่เกิน 3 เดือน พุ่ง 1.3 แสนล้านบาท ห่วงเป็นหนี้เสีย

วันที่ 23 พฤษภาคม 2565 นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ เปิดเผยว่า หนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 4 ของปี 2564 ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง มีมูลค่า 14.58 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 90.1% ต่อจีดีพี จากช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่อยู่ระดับ 89.7% ต่อจีดีพี

อย่างไรก็ดี คุณภาพสินเชื่อยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ยังต้องติดตามผลกระทบจากรายได้ครัวเรือนยังไม่ฟื้นตัว ความเปราะบางของฐานะการเงินของครัวเรือน และค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ 

ทั้งนี้ หนี้สินครัวเรือนขยายตัวชะลอลง ได้แก่ สินเชื่อเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์ ขยายตัว 5% จาก 5.8% ของไตรมาสก่อน และสินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจ ขยายตัว 6.5% จาก 7.6% ในไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่สินเชื่อที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ สินเชื่อเพื่อยานยนต์ ขยายตัว 1.2% จาก 0.3% ในไตรมาสก่อน จากมาตรการส่งเสริมการขายในช่วง Motor Expo สินเชื่อบัตรเครดิต ขยายตัว 1.6% จากการหดตัว 0.5% ในไตรมาสก่อน ตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัว

ด้านความสามารถในการชำระหนี้ปรับตัวดีขึ้น โดยหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) มีมูลค่า 1.43 แสนล้านบาท ลดลง 0.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงจากไตรมาสก่อน 4% หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 2.73%

โดยคุณภาพสินเชื่อปรับตัวดีขึ้นในทุกประเภทสินเชื่อ แต่ยังต้องเฝ้าระวัง NPLs ในสินเชื่อรถยนต์ เนื่องจากมีสัดส่วนสินเชื่อกล่าวถึงพิเศษ (สินเชื่อค้างชำระไม่เกิน 3 เดือน) ต่อสินเชื่อรวม สูงถึง 11.08% หรือคิดเป็นมูลค่าถึง 1.3 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ ต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจาก 1) ครัวเรือนมีฐานะการเงินเปราะบางมากขึ้น จากการเผชิญภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวมาอย่างยาวนาน ทำให้ครัวเรือนโดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยมีสภาพคล่องต่ำ 2) รายได้ครัวเรือนยังไม่ฟื้นตัว แม้การจ้างงานจะเพิ่มขึ้นแต่ชั่วโมงการทำงานยังไม่กลับมาสู่ภาวะปกติ และผู้เสมือนว่างงานยังมีจำนวนมาก และ 3) ค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ครัวเรือนมีรายได้ไม่เพียงพอสำหรับการชำระหนี้