ทริสฯ ปรับแนวโน้มเครดิต “MINT” ดีขึ้น คาดธุรกิจโรงแรมฟื้นช่วงครึ่งปีหลัง

หุ้นไทย

ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร & หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน “ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล” ที่ “A” หุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน ที่ “BBB+” พร้อมเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิต เป็น “Stable” จาก “Negative” สะท้อนการคลายกังวลจากผลกระทบโควิด-19 คาดธุรกิจโรงแรมในไทยฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 2565

วันที่ 8 มิถุนายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทริสเรทติ้ง ได้ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ที่ระดับ “A” รวมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน (MINT18PA) ของบริษัทที่ระดับ “BBB+” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่เข้มแข็งของบริษัทจากการมีแบรนด์สินค้าที่แข็งแกร่งและทำเลที่ตั้งของธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารที่ครอบคลุม ตลอดจนภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูงแต่กำลังลดลงของบริษัท

นอกจากนี้ ทริสเรทติ้ง ได้ปรับเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Stable” หรือ “คงที่” จาก “Negative” หรือ “ลบ” ซึ่งสะท้อนถึงการคลายความกังวลจากผลกระทบของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด-19) และความคาดหมายของทริสเรทติ้งว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งในหลายไตรมาสข้างหน้า แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ก็ตาม

               

ทั้งนี้ การยกเลิกมาตรการจำกัดการเดินทางอันเนื่องมาจากโรคระบาดและการค่อย ๆ กลับคืนสู่ภาวะปกติทางสังคมและเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสนับสนุนให้การดำเนินธุรกิจกลับมาฟื้นตัวได้อย่างมั่นคงยิ่งขึ้น ซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถฟื้นสถานะเครดิตได้อย่างมั่นคง โดยมีอัตราส่วนหนี้ทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ปรับปรุงแล้วลดลงสู่ระดับต่ำกว่า 7 เท่าภายในปี 2566

โดยทริสเรทติ้ง ประเมินว่า รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนของโรงแรมที่ MINT เป็นเจ้าของและเช่าดำเนินการจะฟื้นตัวขึ้นมาอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโรคระบาดที่ระดับประมาณ 5%-10% ในปี 2565 และจะเติบโตที่ประมาณปีละ 10% ในช่วงปี 2566-2567

ขณะที่รายได้จากธุรกิจร้านอาหาร คาดว่าจะอยู่ที่ 2.3-2.6 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2565-2567 และมีรายได้รวมจะอยู่ที่ระดับ 1.14 แสนล้านบาทในปี 2565 และระดับ 1.25-1.35 แสนล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2567

ส่วน EBITDA Margin คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 23%-24% ในปี 2565 และที่ระดับประมาณ 25%-27% ต่อปีในช่วงปี 2566-2567 ในขณะที่ค่าใช้จ่ายลงทุนจะอยู่ที่ 6.5 พันล้านบาทในปี 2565 และ 1.0-1.1 หมื่นล้านบาทต่อปีในช่วงปี 2566-2567 นอกจากนี้ บริษัทจะมีการขายสินทรัพย์บางส่วนออกไปจำนวน 2-2.5 พันล้านบาทในปี 2565 และจำนวน 7-7.5 พันล้านบาทในปี 2566