เงินเฟ้อสหรัฐพุ่งแรง ศูนย์วิจัยกสิกร ประเมินเฟดไม่ผลีผลามขึ้นดอกเบี้ยแรง

นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
FILE PHOTO: REUTERS/File Photo นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินเฟดไม่น่ารีบใช้ยาแรงขึ้นดอกเบี้ยถึง 0.75% หวั่นเอฟเฟ็กต์ตลาดเงิน-ตลาดทุน คาดปรับขึ้นในระดับ 0.50% ในการประชุมวันที่ 14-15 มิ.ย.นี้ หลังอัตราเงินเฟ้อสหรัฐเดือน พ.ค.พุ่ง 8.6% สูงสุดรอบ 40 ปี รวมถึงน่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.50% ในเดือน ก.ค.

วันที่ 13 มิถุนายน 2565 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) วันที่ 14-15 มิ.ย. นี้ คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.50 ตามที่ได้ส่งสัญญาณไว้ ขณะที่ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือน พ.ค. ที่ออกมาล่าสุดกลับเร่งตัวสูงขึ้นและแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปีที่ 8.6% ต่อปี (YOY) ส่งผลให้เฟดมีแนวโน้มที่จะยังคงให้น้ำหนักต่อความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อเป็นหลักและส่งสัญญาณดำเนินนโยบายการเงินแบบแข็งกร้าวอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ เฟดจะยังคงให้น้ำหนักต่อความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อเป็นหลัก ท่ามกลางเงินเฟ้อที่ยังคงเร่งตัวในระดับสูงและมีแนวโน้มที่จะไม่ชะลอลงในระยะอันใกล้ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปวัดจากดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพ.ค. 2565 พลิกกลับมาเร่งสูงขึ้นและแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปีที่ระดับ 8.6% YOY หลังจากชะลอตัวลงในเดือนก่อนหน้าที่ 8.3% YOY และสูงกว่าที่ตลาดคาดที่ 8.3%

ขณะที่หากเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MOM) อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือน พ.ค. 2565 ขยายตัวที่ 1.1% MOM ซึ่งเงินเฟ้อที่เร่งสูงขึ้นนั้นออกมาเหนือความคาดหมายของตลาดที่มองว่าเงินเฟ้อสหรัฐ ได้ผ่านจุดสูงสุดมาแล้วและมีแนวโน้มที่จะชะลอลง ทั้งนี้ ปัจจัยผลักดันหลักของเงินเฟ้อเดือน พ.ค. 2565 ยังคงมาจากราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากผลกระทบของความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ขณะที่ราคาสินค้าอื่น ๆ ก็เพิ่มสูงขึ้นเป็นวงกว้างตั้งแต่ราคาอาหารไปจนถึงค่าเช่าบ้าน ท่ามกลางปัญหาห่วงโซ่อุปทานและการส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้น

ดังนั้น คาดว่าเฟดคงจะยังให้น้ำหนักต่อความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อเป็นหลักและคงจะส่งสัญญาณว่าจะใช้นโยบายทางการเงินแบบแข็งกร้าวอย่างต่อเนื่องเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ โดยในการประชุม FOMC รอบเดือน มิ.ย. 2565 ที่จะถึงนี้รวมถึงในรอบเดือน ก.ค. เฟดคงจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.50 ตามที่ได้เคยส่งสัญญาณไว้ โดยแม้จะมีแรงกดดันให้เฟดใช้ยาแรงมากขึ้น แต่เฟดคงจะไม่ตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.75 เนื่องจากจะเป็นการสร้างความวิตกกังวลในตลาดเงินและตลาดทุนจนเกินควร

อย่างไรก็ดี เฟดอาจส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.50 หลังการประชุม 2 ครั้งข้างหน้า ซึ่งเฟดคงจะรอติดตามพัฒนาการของเงินเฟ้อและเศรษฐกิจสหรัฐ ในแต่ละรอบการประชุม โดยหากเงินเฟ้อยังคงไม่มีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลง มีความเป็นไปได้ที่เฟดอาจจำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.50 ในทุกรอบการประชุมที่เหลือของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายของเฟดอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.00-3.25

ณ ปลายปีนี้ ทั้งนี้ ในการประชุมรอบนี้จะมีการเผยแพร่ประมาณการเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Dot Plot) ซึ่งคงเป็นอีกจุดสนใจในการประชุมครั้งนี้ เนื่องจากจะสะท้อนมุมมองของเฟดต่อการดำเนินนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า โดยตลาดคงจะจับตา Fed Dot Plot ที่จะบ่งชี้ประมาณการดอกเบี้ยนโยบายว่าจะอยู่ที่ระดับใด

ทั้งนี้ แม้ว่าเฟดจะพยายามประคับประคองเศรษฐกิจสหรัฐให้ไปสู่ soft landing แต่ด้วยแรงกดดันเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงอาจส่งผลให้เฟดจำเป็นต้องดำเนินนโยบายทางการเงินแบบแข็งกร้าวต่อไป ซึ่งจะส่งผลให้สหรัฐ เผชิญความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า แม้ความเสี่ยงของการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐ จะเพิ่มขึ้น แต่ความเป็นไปได้ในปีนี้ยังต่ำอยู่ เนื่องจากโดยภาพรวมของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกายังอยู่ในเกณฑ์ดีแม้ GDP จะหดตัวที่ -1.5% ในไตรมาส 1/2565 โดยตลาดแรงงานมีแนวโน้มแข็งแกร่งหลังจากอัตราการว่างงานเดือน พ.ค. 2565 ยังคงอยู่ในระดับต่ำใกล้เคียงกับระดับในช่วงก่อนโควิด อีกทั้งการจ้างงานก็ยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องแม้ว่าอาจจะเติบโตในอัตราที่ชะลอลงจากแรงกดดันเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ประกอบกับต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นตามการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของเฟด


อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยยังมองความเป็นไปได้ที่สหรัฐ จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้า ท่ามกลางแรงส่งจากปัจจัยบวกต่าง ๆ ที่ลดลง ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ในระดับสูงจากประเด็นด้านเงินเฟ้อและการดำเนินนโยบายทางการเงินแบบตึงตัวอย่างต่อเนื่องของเฟดซึ่งจะไปกดดันการบริโภคที่เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจสหรัฐ ให้ชะลอตัวลง อีกทั้งยังจะสร้างแรงกดดันต่อตลาดเงินตลาดทุนของสหรัฐ รวมถึงทั่วโลกให้ปรับตัวลงอีกด้วย