“ทรีนีตี้” ชี้เงินเฟ้อ กำหนดทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก ขณะที่เงินเฟ้อไทยหากพุ่งเกิน 7% กดดัน กนง.ขึ้นดอกเบี้ย เหตุดอกเบี้ยแท้จริงระหว่างไทย-สหรัฐห่างกันเกินไป ฉุดค่าบาทอ่อน แนะรอเข้าซื้อแนวรับแรกที่บริเวณดัชนี 1,500-1,530 จุด เน้นกลุ่มหุ้น Defensive ทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว
วันที่ 4 กรกฎาคม 2565 นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนเดือนกรกฎาคม 2565 ว่า คาด SET Index ในเดือนกรกฎาคมซึ่งอยู่ในช่วงแรกของไตรมาสที่ 3 จะอยู่ในโหมดแกว่งตัวซึม ๆ ต่อไป จากรายงานตัวเลขเงินเฟ้อที่น่าจะยังออกมาเติบโตสูงในระยะสั้น ส่งผลให้ธนาคารกลางต่าง ๆ ยังคงจำเป็นต้องใช้ความ Aggressive ในการดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดต่อไป
ทั้งนี้ เมื่อมาประกอบกับความกังวลใจทางด้านเศรษฐกิจโลกที่อาจเข้าสู่ภาวะชะลอตัวมากขึ้น โดยเฉพาะทางฝั่งสหรัฐและยุโรป ทำให้อาจเริ่มเห็นการโยกย้ายเม็ดเงินออกจากสินทรัพย์เสี่ยงไปสู่สินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นที่เรามองว่าน่าสนใจสำหรับการ Overweight ตลอดทั้งไตรมาส 3 ยังคงได้แก่พันธบัตรระยะยาว โดยเฉพาะทางฝั่งของสหรัฐที่มองว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปัจจุบันได้มีการ Price in ประเด็นการเข้มงวดนโยบายการเงินของ Fed ไปมากแล้ว
“ในส่วนของภาพ SET Index นั้น ต้องบอกว่าเป็นดัชนีที่มีค่าความผันผวนต่ำอย่างมากในช่วงหลัง จนทำให้กรอบการแกว่งตัวแคบตามไปด้วย และเป็นตลาดที่มีทิศทางอิงอยู่กับนักลงทุนต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทุกวันนี้เป็นกลุ่มนักลงทุนที่ครองสัดส่วนการมีส่วนร่วมในตลาดหุ้นไทยไปแล้วถึง 50% ด้วยความสำคัญของ Fund flow ที่ค่อนข้างมากนี้ การอ่านทิศทางของนักลงทุนต่างชาติจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
ซึ่งหากวิเคราะห์ไปกับทิศทางของค่าเงินบาทด้วยแล้วนั้น ประเมินว่าในเดือน ก.ค.จะยังไม่เห็น Turning point ของทั้ง 2 ตัวแปรดังกล่าวแต่อย่างใด สอดรับกับรายงานตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดเดือน พ.ค. ล่าสุดที่ออกมาขาดดุลทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งที่ระดับ 3.7 พันล้านเหรียญ จนทำให้ล่าสุดบาทกลับมาเป็นสกุลเงินในเอเชียที่อ่อนค่ามากที่สุดอีกครั้งนับตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
“สำหรับปัจจัยสำคัญที่สุดที่เรามองว่าจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของตลาดหุ้นทั่วโลกในเดือนนี้ก็คือรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) ของสหรัฐที่จะออกมาในวันที่ 13 ก.ค. ซึ่งจะมีผลกระทบสำคัญต่อไปยังคาดการณ์ดอกเบี้ย Fed ในตลาด และการประชุม FOMC ในวันที่ 26-27 ก.ค. ส่วนรายงานเงินเฟ้อของไทยก็น่าสนใจไม่แพ้กัน โดยจะออกมาในวันที่ 7 ก.ค. หากออกมาขยายตัวสูงเกินกว่า 7% จะยิ่งทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยแท้จริงระหว่างเรากับสหรัฐถูกทิ้งห่างมากขึ้นไปอีก ซึ่งจะกระทบกับค่าเงินบาทให้อ่อนค่าต่อไปได้ และน่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ธปท.จำเป็นจะต้องขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในรอบถัดไปอย่างแน่นอน”
นายณัฐชาตกล่าวว่า ในเชิงกลยุทธ์ ยังคงแนะนำใช้การตั้งรับการเข้าซื้อ โดยยังคงมองจุดแนวรับแรกที่บริเวณดัชนี 1,500-1,530 จุด ส่วนแนวรับสำคัญในไตรมาส 3 มองไปยังบริเวณดัชนี 1,460-1,500 จุด ซึ่งจะทำให้ภาพ SET Index กลับมามีความน่าสนใจอย่างมากในเชิง Valuation จากทั้งมาตรวัด PBV, PE และ EYG
ทั้งนี้ หากต้องถือครองหุ้นในช่วงนี้จริง มองว่าจำเป็นที่จะต้องเน้นไปยังกลุ่ม Defensive ซึ่งสามารถทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวต่อไป ไม่ว่าจะเป็น Healthcare (BDMS) / Consumer Staples (CPALL) / Utilities (GPSC, RATCH, WHAUP) / ICT (ADVANC) ส่วนกลุ่มอื่น ๆ ที่น่าสนใจสำหรับการ Selective ได้แก่ กลุ่มบริหารหนี้ (JMT) กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า (CPF) กลุ่มเปิดเมือง/เปิดประเทศที่ยังคง Laggard (OR) และกลุ่มธนาคารที่ปลอดภัย (BBL)