ดร.นิเวศน์ ชี้ตลาดหุ้นไทยซึมยาวต้นปีหน้า จุดเปลี่ยนการเมือง “เลือกตั้งใหญ่”

หุ้น-ดัชนีหุ้น

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร กูรูนักลงทุนวีไอ มองตลาดหุ้นไทยซึมยาวต้นปีหน้า จุดเปลี่ยนการเมืองล้าหลังสู่ “เลือกตั้งใหญ่” เป็นวันที่มีความสำคัญต่ออนาคตประเทศ-ตลาดหุ้นไทย

วันที่ 16 กรกฎาคม 2565 ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า(Value Investor) เปิดเผยว่า ในความคิดของผมต่ออนาคตดัชนีตลาดหุ้นอย่างน้อยประมาณ 6 เดือนข้างหน้านั้น สำหรับตลาดหุ้นระดับโลกซึ่งเน้นที่ตลาดหุ้นอเมริกานั้น ผมคิดว่าหุ้นจะปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นน่าจะยาก เหตุผลนอกจากปัจจัยดังที่กล่าวแล้วก็คือ ดัชนีตลาดหุ้นของอเมริกาในระยะยาวตั้งแต่ปี 2009 หลังวิกฤตซับไพร์มจนถึงสิ้นปี 2021 เป็นเวลาประมาณ 13 ปี ให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

ดังนั้น ตั้งแต่ต้นปี 2022 ที่ตลาดหุ้นตกลงมาเฉลี่ยถึง 20% ภายใน 6 เดือน จึงเป็น “ขาลงระยะยาว” ที่อาจจะต่อเนื่องไปอีกหลายปีที่ตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ไม่น่าประทับใจเพื่อที่จะทำให้ “ผลตอบแทนระยะยาวมากของตลาดหุ้นอเมริกา” ไม่สูงเกินความเป็นจริงที่ประมาณไม่เกิน 10% ต่อปีแบบทบต้น

“พูดง่าย ๆ หุ้นอเมริกาต่อไปนี้คงไม่ดีนัก ถ้าไม่ตกหนักลงไปอีกจนเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤตที่เกิดขึ้นแล้ว”

ในด้านของตลาดหุ้นไทยนั้น ในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นเป็น Sideway หรือปรับตัวขึ้นลงไม่มากมาตลอด ดัชนีวันนี้เท่า ๆ กับดัชนีในเดือนมีนาคม 2556 ที่ประมาณ 1,561 จุด และผมก็คิดว่าดัชนีหุ้นไทยก็อาจจะทรงตัวหรือ Sideway ต่อไปโดยที่โอกาสที่จะตกลงมาหนักก็อาจจะไม่มาก เหตุผลเพราะว่า “ผลตอบแทนระยะยาว” โดยเฉพาะในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมาก็ไม่สูง หรือพูดง่าย ๆ ว่า “ในเมื่อหุ้นไม่เคยขึ้นเลย ดังนั้นมันก็คงจะไม่ตกลงมามากนัก” ความเชื่อของผมก็คือ หุ้นไทยก็คงจะทรง ๆ ไปจนถึงต้นปีหน้า ครบ 10 ปีที่นักลงทุนแทบจะไม่ได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน เป็น “Lost Decade” หรือ “ทศวรรษที่หายไป” ของตลาดหุ้น

แต่ผมเองก็จะยังคงถือหุ้นไทยต่อไปด้วยความเชื่อที่ว่าถ้าเราถือหุ้นดีเป็นหุ้น Value เราก็น่าจะได้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดอยู่บ้าง ซึ่งก็น่าจะดีกว่าผลตอบแทนจากทรัพย์สินอย่างอื่นทั้งหมดในประเทศไทย เช่น อสังหาริมทรัพย์หรือหุ้นกู้และพันธบัตร

นอกจากนั้นผมยังคิดว่า ตลาดหุ้นไทยน่าจะยังมีโอกาสดีดตัวขึ้นแรงได้ ถ้าประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นในหลาย ๆ ด้านหลังจากที่เศรษฐกิจชะลอตัวมานานติดต่อกันหลาย ๆ ปี และดูเหมือนว่ากำลังจะ “ติดกับ”อยู่ในกลุ่มประเทศรายได้ปานกลางหรือ “Middle Income Trap” ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ว่านั้น ผมเองคิดว่าจะต้องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ค่อนข้างจะ “ล้าหลัง” เมื่อเทียบกับประเทศในระดับการพัฒนาเดียวกัน และนั่นทำให้ผมคิดว่าภายในต้นปีหน้าที่จะมีการเลือกตั้งใหญ่ จะเป็นวันที่มีความสำคัญมากต่ออนาคตของประเทศไทยและตลาดหุ้น