แนวโน้มป่วย ไข้เลือดออก-มาลาเรีย สูงขึ้น หากป่วย ห้ามซื้อยากินเอง

ยุงลาย ป่วย ไข้เลือดออก มาลาเรีย

กรมควบคุมโรค เตือนแนวโน้มผู้ป่วยไข้เลือดออก-มาลาเรียสูงขึ้นในปี 2566 แนะให้กำจัดยุงอย่างถูกวิธี หลีกเลี่ยงใช้สารเคมี หากมีอาการ ไม่ซื้อยาลดไข้กลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) มารับประทานเอง ควรรีบพบแพทย์

วันที่ 17 มกราคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยพบรายงานผู้ป่วยโรคติดต่อนำโดยยุงเพิ่มขึ้น ได้แก่ โรคไข้เลือดออก และโรคมาลาเรีย ข้อมูลจากรายงานในปี 2565 ที่ผ่านมา พบผู้ป่วยไข้เลือดออกสะสม 45,145 ราย ซึ่งมากกว่าปี 2564 ถึง 4.5 เท่า อีกทั้งยังพบผู้ป่วยเสียชีวิตด้วยโรคไข้เลือดออกยืนยันถึง 31 ราย

ส่วนโรคไข้มาลาเรีย ข้อมูลจากระบบมาลาเรียออนไลน์ในปี 2565 พบผู้ป่วยสะสม 10,174 ราย สูงกว่าปี 2564 ถึง 3 เท่า และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2566 โดยจังหวัดที่พบผู้ป่วยสูงสุด ได้แก่ จังหวัดตาก แม่ฮ่องสอน และกาญจนบุรี ส่วนใหญ่พบเป็นชาวต่างชาติ และมีผู้ป่วยเสียชีวิต 2 ราย

โรคไข้ปวดข้อยุงลายพบผู้ป่วยสะสม 1,370 ราย ถึงแม้จะไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต แต่จำนวนผู้ป่วยโรคไข้ปวดข้อยุงลายนั้นสูงกว่าปี 2564 ถึง 2 เท่า โรคติดเชื้อไวรัสซิกาพบผู้ป่วยสะสม 66 ราย เป็นหญิงตั้งครรภ์ 20 ราย นอกจากนี้ ยังพบทารกศีรษะเล็ก 1 ราย และโรคเท้าช้างพบผู้ป่วยใหม่เพิ่ม 4 ราย

ยุง 4 ชนิด พาหะนำโรคร้าย

นายเเพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ยุงในประเทศไทยมีหลายชนิด ชนิดที่พบเป็นพาหะนำโรค ได้แก่

  • ยุงลาย-พาหะนำโรคไข้เลือดออก ไข้ปวดข้อยุงลาย และโรคติดเชื้อไวรัสซิก้า
  • ยุงก้นปล่อง-พาหะนำโรคไข้มาลาเรีย
  • ยุงเสือ-พาหะนำโรคเท้าช้าง
  • ยุงรำคาญ-พาหะนำโรคไข้สมองอักเสบ และโรคเท้าช้างบางประเภท

ซึ่งยุงพาหะแต่ละชนิดมีชีวนิสัยและแหล่งเพาะพันธุ์ที่แตกต่างกัน วงจรชีวิตของยุงจะมี 4 ระยะคือ ระยะไข่ ลูกน้ำ ตัวโม่ง และตัวเต็มวัย โดยระยะตัวเต็มวัยเพศเมียเป็นระยะที่กินเลือด เพื่อใช้ในการพัฒนาไข่ของยุง จึงทำให้เกิดการแพร่โรคติดต่อนำโดยยุงได้

การป้องกันควบคุมโรคให้ประสบผลสำเร็จ จะต้องมีมาตรการทั้งในมิติของคน เชื้อโรค ยุงพาหะ และต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยใช้หลาย ๆ วิธีการร่วมกัน เช่น การลดแหล่งเพาะพันธุ์ โดยการจัดการสิ่งแวดล้อม การป้องกันไม่ให้ยุงกัด การใช้สารเคมีในการกำจัดยุง โดยเฉพาะในกรณีเกิดการระบาดของโรค

และหากมีอาการป่วย หรือสงสัยว่าป่วยด้วยโรคติดต่อนำโดยยุง ต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัย และรับการรักษาที่ถูกต้อง ไม่ซื้อยากินเอง โดยเฉพาะยาในกลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) เช่น ไอบูโพรเฟน ไดโครฟีแนก แอสไพริน รวมถึงยาชุด ซึ่งมีผลทำให้เลือดออกในทางเดินอาหารได้ง่าย ยากต่อการรักษา ทำให้เสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้

ศึกษาประสิทธิภาพสารเคมีต่อเนื่อง ป้องกันยุงดื้อสารเคมี

แพทย์หญิงฉันทนา ผดุงทศ ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อนำโดยแมลง กล่าวเพิ่มเติมว่า การใช้สารเคมีในการป้องกันควบคุมยุงพาหะนำโรค เช่น การพ่นสารเคมีเพื่อกำจัดยุงตัวเต็มวัย มีความจำเป็นในการหยุดการแพร่ระบาดของโรคไม่ให้กระจายเป็นวงกว้าง และเพื่อป้องกันไม่ให้ยุงมีเชื้อไปกัดและแพร่โรคให้คนอื่นต่อไป ซึ่งการพ่นสารเคมี ต้องดำเนินการให้ถูกต้อง ทันท่วงที และได้มาตรฐาน ในขอบเขตการระบาดของโรค

นอกจากนี้ ต้องทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำเพื่อป้องกันยุงตัวใหม่เกิดขึ้น โดยการพ่นนั้นต้องเลือกใช้สารเคมีและความเข้มข้นตามที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ และได้รับการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ไม่พ่นบ่อยครั้งโดยไม่จำเป็น เพื่อป้องกันการดื้อของยุงต่อสารเคมี ซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพการควบคุมโรคในอนาคต

และจากกระแสข่าวที่มีนักวิจัยจากประเทศญี่ปุ่นนำเสนอรายงานวิจัยว่ายุงในพื้นที่ประเทศเวียดนามและกัมพูชามีการดื้อต่อสารเคมีในกลุ่มไพรีทอยด์ (Pyrethroid) นั้น เป็นการศึกษาเพื่อเป็นการเตือนให้ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชีย ตระหนักในการติดตามเฝ้าระวังยุงในพื้นที่ว่ามีการดื้อต่อสารเคมีหรือไม่ และเสนอให้มีการสลับสับเปลี่ยนสารเคมีกำจัดแมลงในการควบคุมยุง

ในส่วนกองโรคติดต่อนำโดยแมลง ได้ศึกษาประสิทธิภาพของสารเคมีกลุ่มไพรีทรอยด์ ที่ใช้ในการกำจัดยุงลายบ้าน ด้วยวิธีการพ่นหมอกควันและพ่น ULV จำนวน 12 พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ตาก พิจิตร นครปฐม ฉะเชิงเทรา มหาสารคาม อุดรธานี นครราชสีมา อุบลราชธานี พังงา สงขลา และกรุงเทพมหานคร พบว่าสารเคมียังมีประสิทธิภาพในการควบคุมยุงลายบ้านได้ดี สามารถฆ่ายุงลายบ้านได้มากกว่า 90%


ทั้งนี้ ประเทศไทยได้แนะนำให้ใช้สารเคมีกำจัดแมลงสูตรผสมและใช้ความเข้มข้นตามมาตรฐาน ซึ่งมีประสิทธิภาพในการกำจัดยุงได้อยู่แล้ว หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422