กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ เตรียมลงพื้นที่สอบ รพ.วิภาราม กรณีปฏิเสธผู้ป่วยต่างชาติ
วันที่ 12 ธันวาคม 2566 นายแพทย์สุระ วิเศษศักดิ์ อธิบดีกรม สบส. กล่าวว่า ตามที่มีคลิปวิดิโอปรากฏเป็นข่าวเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ที่ผ่านมา ว่าพบชาวต่างชาติหมดสติโดยไม่ทราบสาเหตุอยู่บริเวณพัฒนาการ 50 ทางศูนย์วิทยุพระนคร จึงนำผู้ป่วยส่งต่อไปที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ในย่านพัฒนาการ แต่ถูกปฏิเสธ ให้ส่งตัวไปที่โรงพยาบาลรัฐแทน
- ทำฟันประกันสังคม ไม่ต้องสำรองจ่าย เดือน มี.ค. 67 ยอด 169 ล้านบาท
- สหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส ไทย และหลายชาติ ออกแถลงการณ์ร่วม เรียกร้องปล่อยตัวประกันในกาซา
- “ทางรัฐ” ซูเปอร์แอปแห่งชาติ รองรับแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท
กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) และสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) จะร่วมกันลงพื้นที่ ณ โรงพยาบาลวิภาราม ในวันที่ 13 ธันวาคม 2566 ตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่าง ๆ และสอบถ้อยคำจากเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุอย่างถี่ถ้วน เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทั้ง 2 ฝ่าย
หลังก่อนหน้านี้ได้ประสานข้อมูลจากศูนย์วิทยุพระนคร และศูนย์เอราวัณ สำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเจ้าหน้าที่รายงานว่าได้นำผู้ป่วยชาวต่างชาติ ณ โรงพยาบาลวิภาราม แต่เจ้าหน้าที่แผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลปฎิเสธที่จะให้บริการรักษาพยาบาลผู้ป่วย
เนื่องจากผู้ป่วยไม่มีญาติทำให้อาจจะเบิกค่ารักษาพยาบาลไม่ได้ จึงได้มีการนำตัวผู้ป่วยส่งต่อไปยังโรงพยาบาลสิรินธร และผู้ป่วยรายดังกล่าวได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา
สอดคล้องกับการที่พนักงานเจ้าหน้าที่กองกฎหมาย ได้ดำเนินการยืนยันข้อมูลกับสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) อีกครั้ง และพบว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นความจริง
ทั้งนี้ หากพบข้อมูลการกระทำผิด หรือพยานหลักฐานที่เชื่อได้ว่าโรงพยาบาลวิภารามมีการปฏิเสธการรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤตจริง จะถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายพระราชบัญญัติสถานพยาบาล พ.ศ. 2541 มาตรา 36
ซึ่ง พ.ร.บ.ฉบับนี้กำหนดให้ผู้รับอนุญาตประกอบกิจการ หรือผู้ดำเนินการสถานพยาบาล ผู้รับอนุญาตและผู้ดำเนินการของสถานพยาบาลต้องควบคุมและดูแลให้มีการช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ป่วย ซึ่งอยู่ในสภาพอันตรายและจำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาลโดยฉุกเฉิน เพื่อให้ผู้ป่วยพ้นจากอันตรายตามมาตรฐานวิชาชีพและตามประเภทของสถานพยาบาลนั้น ๆ
สำหรับผู้กระทำผิดจะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ