ยอดคนติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่พุ่งอีก 120 ราย ผู้ป่วยสะสม 1,771 ราย เสียชีวิตรวม 12 ราย

วันที่ 1 เมษายน 2563 เวลา 11.36 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19 ) หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์ประจำวันว่า มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 120 ราย ยอดผู้ป่วยสะสม 1,771 ราย เสียชีวิตรายใหหม่เพิ่ม 2 ราย รวมเสียชีวิตสะสม 12 ราย หลักๆของผู้ติดเชื้อยังมาจากสนามมวย และสถานบันเทิง รวมถึงคนไทยที่กลับมาจากต่างประเทศ

ส่วนผู้ป่วยรายใหม่ใน 120 ราย มาจาก 16 จังหวัด หลักๆยังมาจากพื้นที่กรุงเทพฯ 43 ราย สมุทรปราการ 23 ราย ภูเก็ต 11 ราย กระบี่ นนทบุรี ปทุมธานี บุรีรัมย์ สงขลา ชลบุรี จังหวัดละ 2 ราย และจังหวัดฉะเชิงเทรา นครปฐม ศรีสะเกษ สมุทรสาคร สระบุรี หนองบังลำภู อุบลราชธานี จังหวัดละ 1 ราย และอยู่ระหว่างสอบสวน 24 ราย

โดยผู้ป่วยเสียชีวิต 2 ราย คือ รายที่ 11 เพศชายอายุ 77 ปี อยู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้เดินทางไปร่วมงานแต่งงานที่ประเทศมาเลเซีย เริ่มป่วยวันที่ 20 มี.ค. โดยเข้ารับการรักษาที่ รพ. 2 ครั้ง โดยเข้ารับการรักษา 28 มี.ค. ส่วนรายที่ 12 อายุ 58 ปี เป็นนักธุรกิจ เริ่มป่วยวันที่ 12 มี.ค. กลับถึงไทยวันที่ 14 มี.ค. เข้ารับการรักษาใน รพ.เอกชน เสียชีวิต 31 มี.ค.

สำหรับสถานการณ์ผู้ป่วยทั่วโลก พบว่าผู้ป่วยจำนวน 856,910 ราย เสียชีวิต 42,107 ราย อาการวิกฤต 32,297 ราย กลับบ้านได้ 177,141 ราย สหรัฐยังมีผู้ป่วยติดเชื้ออันดับ 1 ของโลก ส่วนของไทยยังอยู่อันดับที่ 35 ของโลก

ทั้งนี้ สถานการณ์ยังกระจุกตัวใน กทม.และปริมณฑล ซึ่งตรวจพบที่ติดเชื้อ 850 ราย ดังนั้น คนที่เดินทางใน กทม.เสี่ยงทั้งสิ้น เพราะจะมีคนแวดล้อม 2-3 เท่ามีอัตราแพร่เชื้ออยู่ เราไม่อยากเห็นคน กทม.เพิ่มขึ้นคูณ 3 และถ้ารวมกับ สมุทรปราการ นนทบุรี จะรวมกว่า 3 พันกว่าราย

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ยืนยันว่าเป็นตัวเลขที่แถลงทุกวันเป็นตัวเลขแท้จริง เกิดขึ้นจริงตามให้การบริการ ส่วนเครื่องมือไม่เพียงพอหรือไม่ ช่วงแรกอาจเป็นไปได้ และต้องมีผู้เชี่ยวชาญในการตรวจ PCR ต้องใช้ถึง 2 แล็บ แต่ตอนนี้เชี่ยวชาญกันพอสมควร กทม.และปริมณฑล ตรวจได้วันละ หมื่นเคส ต่างจังหวัดทั่วประเทศ หลายแห่งตรวจได้วันละหมื่นเคส แต่ในการตรวจ 1 ใน 3 ตรวจคนที่ปกติแต่ตื่นตระหนักว่าจะติดเชื้อหรือไม่ จากการตรวจ 3 หมื่นราย เจอว่ามีอาการป่วย 1 หมื่นราย และยืนยันว่าเป็นโควิด-19 แค่ 400 คน ขณะนี้เราเสียเวลากับคนที่ตื่นตระหนกแล้วไปตรวจมากจริงๆ รวมถึงทรัพยากร ถ้าแข็งแรงดีเพียงแค่ตระหนกไม่ต้องไป

พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

ด้านพล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) กล่าวว่า จากการปฏิบัติตลอด 4-5 วัน ยังมีประชาชนบางส่วนฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด หรือ ข้อกฎหมาย ทั้งที่นายกฯ และบุคลากรทางการแพทย์ทำงานกันอย่างหนัก มีหลายกรณีเป็นการข้อความร่วมมือแต่ยังฝ่าฝืน เช่น การมั่วสุม ตั้งวงสนุกสนานกัน ถือว่ากระทำกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท พรบ.ควบคุมโรค และ พรก.ฉุกเฉิน หรือ กักตุนสินค้า ขายหน้ากากเกินควร ในกทม.ยังกักตุนแอลกอฮอล์ 1,200 แกลลอน ถือเป็นความผิดรุนแรง ซึ่งผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร).สั่งพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีอย่างจริงจัง จำคุก 7 ปี 1.4 แสนบาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับและยึดของกลาง

บางคดีเช่น เอาน้ำลายไปป้ายสถานที่ต่างๆ ศาลลงโทษจำคุก 15 วัน หรือ ยังมีการแอบเล่นการพนัน ผิดทั้ง พ.ร.บ.การพนัน ผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และผิด พ.ร.บ.โรคติดต่อ ดังนั้นอย่าฝ่าฝืน เราดำเนินการอย่างหนัก นายกฯ ให้ใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดกับพวกที่ซ้ำเติมความเดือดร้อนกับประชาชน เราถือว่าประเภทคดีต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วน อีกทั้ง ผบ.ตร. กำชับให้ลงโทษสถานหนักไม่ต้องรอลงอาญา ขณะที่ในหลายจังหวัดห้ามออกนอกบ้านในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งไม่ใช่เวลาปกติ ขนส่งอุปโภคบริโภค ปัจจัย 4 หรือ ยารักษาโรค ถ้าทำธุระอื่นขอว่าอย่าออกจากบ้านดีกว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่

พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวอีกว่า ส่วน จ.นนทบุรี ที่ประกาศเคอร์ฟิวไม่ควรออกนอกบ้าน 22.00-05.00 น. คงยังไม่มีบริษัทที่ไหนเปิด คนเดินทางต้องมีความจำเป็นโดยแท้ หรือบางจังหวัดจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่ผู้ว่าฯ สั่งปิดจังหวัดถ้าเข้า หรือ ออก จะผิด พรบ.โรคติดต่อ ดังนั้น ออกเท่าที่จำเป็นจริงๆ ถ้าไม่จำเป็นขอให้อยู่บ้าน