ราชกิจจาฯ ออกประกาศ ข้อกำหนด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฉบับที่ 13 มีผล 1 ส.ค. เป็นต้นไป

ราชกิจจานุเบกษา

เมื่่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 เว็บไซต์ราชกิจจาออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกาหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 13) ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคมพ.ศ. 2563 และต่อมาได้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวออกไป เป็นคราวที่ 4 จนถึงวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2563 แล้วนั้น

โดยที่แม้สถานการณ์ของประเทศไทยในการควบคุมและป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โรคโควิด – 19) มีแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่อง แต่สถานการณ์การระบาดในต่างประเทศยังคงอยู่ในระดับรุนแรงและจานวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นในอัตราสูง เนื่องจากการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ รวมถึงการเปิดให้มีการเดินทางเข้ามาจากต่างประเทศ ดังที่ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีความจำเป็นจะต้องเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรได้แสดงความประสงค์ต่อทางราชการไว้เป็นจานวนมาก รัฐบาลจึงเห็นความจาเป็นที่ต้องคงการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินไว้ต่อไปเพื่อให้ประชาชนสามารถดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้โดยยังคงตระหนักและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค และเพื่อประโยชน์

ในการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งต้องสนธิกาลังทุกฝ่ายนอกเหนือจากเจ้าพนักงานควบ คุมโรคติดต่อตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. ๒๕๕๘ ผลจากการสนธิกาลังประการหนึ่งคือ พนักงานเจ้าหน้าที่ยังคงตรวจพบผู้ได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าเมือง และผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเป็นจานวนมากที่มีอาการและอาจเป็นพาหะนาโรคเข้ามาแพร่ในประเทศได้ การให้อานาจแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในการกาหนดให้บุคคลที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรต้องปฏิบัติตามมาตรการที่ออกตาม

ข้อกำหนดภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ทั้งในขั้นตอนก่อนการเดินทาง การเข้ารับการกักกันตัวตามระยะเวลาและในสถานที่ที่รัฐกาหนด หรือการติดตามดูแลกิจกรรมต่าง ๆ ระหว่างที่พานักอยู่ในประเทศจึงเป็นการดาเนินการที่สาคัญและจาเป็นเพื่อปกป้องความมั่นคงปลอดภัยทางด้านสาธารณสุขของประเทศนอกเหนือไปจากมาตรการปกติที่กาหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกาหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินพ.ศ. 2548 และมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 นายกรัฐมนตรีจึงออกข้อกำหนดและข้อปฏิบัติแก่ส่วนราชการทั้งหลาย ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 การจัดกิจกรรมรวมกลุ่ม การจัดให้มีกิจกรรมรวมกลุ่มหรือการใช้สิทธิของประชาชน เพื่อการชุมนุมใด ๆ ย่อมกระทาได้ภายใต้ขอบเขตการใช้สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายโดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กาหนดไว้ตามกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะ และให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดกิจกรรมจัดให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกาหนดด้วย

ข้อ 2 การเปิดดาเนินการสถานที่และกิจกรรมต่าง ๆ เพิ่มเติม ให้สถานที่ กิจการและกิจกรรมต่าง ๆ ที่เคยผ่อนคลายหรืออนุญาตให้เปิดดาเนินการไว้แล้วคงดาเนินการได้ต่อไปภายใต้เงื่อนไขเงื่อนเวลา รวมทั้งมาตรการป้องกันโรค การจัดระบบและระเบียบต่าง ๆ ตามที่ทางราชการกาหนดไว้เดิมและให้สถานที่ กิจการและกิจกรรมดังต่อไปนี้ สามารถเปิดดาเนินการได้ตามความสมัครใจและความพร้อม

(1) การถ่ายทำรายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ที่ได้เคยผ่อนคลายไว้แล้ว ให้สามารถดำเนินกิจกรรมได้ เพื่อประโยชน์ในการขับเคลื่อนกิจกรรมด้านเศรษฐกิจ การสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนด้าอุตสาหกรรมภาพยนตร์

(2) สถานที่ใช้เครื่องเล่นในลักษณะที่เป็นเครื่องเล่นเป่าลม บ้านลม บ้านบอลหรือเครื่องเล่นอื่นที่มีลักษณะเดียวกันที่เป็นการติดตั้งแบบถาวรและได้รับการตรวจสอบรับรองตามที่กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารกำหนด

(3) ให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครหรือผู้ว่าราชการจังหวัดมีอานาจในการพิจารณาอนุญาตให้สนามชนโค สนามชนไก่ สนามกัดปลา หรือสนามแข่งขันอื่นในลักษณะทำนองเดียวกันที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบสามารถเปิดดำเนินการและให้บริการได้ตามความเหมาะสมเมื่อมีความพร้อมผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในกิจกรรมและสถานที่ดังกล่าวต้องจัดให้มีการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคเงื่อนไขการจัดระเบียบและระบบต่าง ๆ คาแนะนาของทางราชการ รวมทั้งกฎหมาย กฎ หรือระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจตรวจสอบการดาเนินการ และหากพบการกระทาที่อาจมีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค พนักงานเจ้าหน้าที่อาจให้คำแนะนา ตักเตือน ห้ามปราม และมีอำนาจหนดช่วงระยะเวลาเพื่อให้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไข

รวมทั้งเสนอให้ผู้มีอำนาจมีคำสั่งปิดสถานที่ไว้เป็นการชั่วคราวและดาเนินคดีต่อผู้ฝ่าฝืนด้วยก็ได้ให้คณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ตรวจสอบกลั่นกรองและเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุญาตให้ผ่อนคลายหรือกระชับมาตรการที่ใช้บังคับกับสถานที่ กิจการ หรือกิจกรรมที่ได้เปิดดาเนินการแล้วในห้วงเวลาที่ผ่านมาเพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควร

ข้อ 3 การกำหนดผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเพิ่มเติม เพื่อประโยชน์ในการจัดการคัดกรองบุคคลที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร การควบคุมและป้องกันมิให้เกิดการระบาดของโรคจึงให้แก้ไขเพิ่มเติมประเภทของผู้ที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรตามข้อกาหนด (ฉบับที่ 12) ลงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563 ดังต่อไปนี้

(1) ให้ยกเลิกความใน (7) ในข้อ 1 การเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ของข้อกำหนด (ฉบับที่ 12) ลงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “(7) คนต่างด้าวซึ่งมีใบสาคัญถิ่นที่อยู่ในราชอาณาจักร ตลอดจนคู่สมรสและบุตรของบุคคลดังกล่าว”

(2) ให้ยกเลิกความใน (8) ในข้อ 1 การเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ของข้อกำหนด (ฉบับที่ 12) ลงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “(8) ผู้ไม่มีสัญชาติไทยซึ่งมีใบอนุญาตทางานหรือได้รับอนุญาตให้เข้ามาทางานในราชอาณาจักรตามกฎหมาย ตลอดจนคู่สมรสและบุตรของบุคคลดังกล่าว หรือแรงงานต่างด้าวที่นายจ้างหรือผู้รับอนุญาตให้นำคนต่างด้าวเข้ามาทางานในราชอาณาจักรได้รับอนุญาตจากทางราชการเพื่อผ่อนปรนให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและให้ทางาน”

(3) ให้ยกเลิกความใน (11) ในข้อ 1 การเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ของข้อกำหนด (ฉบับที่ 12) ลงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “(11) ผู้ไม่มีสัญชาติไทยซึ่งได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรตามข้อตกลงพิเศษ (special arrangement) ระหว่างหน่วยงานของรัฐของประเทศไทยกับต่างประเทศ หรือบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ได้รับอนุญาตจากนายกรัฐมนตรีตามข้อเสนอและการตรวจสอบกลั่นกรองของคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) โดยต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคตามที่คณะกรรมการเฉพาะกิจดังกล่าวกำหนด”

ผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรย่อมอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของพนักงานเจ้าหน้าที่หรือเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อและต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข เงื่อนเวลา หลักเกณฑ์และมาตรการป้องกันโรค สำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรตามที่กาหนดไว้ในข้อ ๒ แห่งข้อกำหนด (ฉบับที่ ๑๒) ลงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563 ด้วย

ข้อ 4 เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมและขับเคลื่อนเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านสาธารณสุขของประเทศ ให้คณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบ กลั่นกรองและเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเดินทางของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่จะเข้ามาในราชอาณาจักรตามที่นายกรัฐมนตรีหรือศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด – 19 จะพิจารณาอนุญาตต่อไปบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในราชอาณาจักรตามวรรคหนึ่งต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค การจัดระเบียบและระบบต่าง ๆ ตามที่ทางราชการกาหนดโดยเคร่งครัด

ข้อ 5 การบังคับใช้มาตรการป้องกันโรค ให้เจ้าของหรือผู้ดูแลรับผิดชอบสถานที่ กิจกรรมและกิจการต่าง ๆ จัดให้มีมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกาหนด และให้ผู้ใช้บริการหรือเข้าไปยังสถานที่หรือร่วมทากิจกรรมเช่นว่านั้นสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากทางเลือก เว้นระยะห่างทางสังคม และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคตามที่ทางราชการกาหนด ตลอดจนเข้าระบบแอปพลิเคชันไทยชนะหากมีการนามาใช้ และต้องยอมรับการกักกันตามระยะเวลาและในสถานที่ที่รัฐกาหนดสาหรับผู้อยู่ในข่ายต้องรับการกักกัน

ข้อ 6 การประสานงาน ในกรณีมีปัญหาเกี่ยวกับการดาเนินการทั้งในส่วนของประชาชนและพนักงานเจ้าหน้าที่ตามข้อกาหนดนี้ ให้หารือหรือประสานงานกับคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ซึ่งมีเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติในฐานะหัวหน้าสานักงานประสานงานกลางศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด – 19 เป็นประธาน

ทั้งนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เป็นต้นไปประกาศ ณ วันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 256 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี

 


อ่านราชกิจจานุเบกษาฉบับทางการ