องค์การเภสัช จ่อทดสอบวัคซีนโควิดในมนุษย์ระยะที่ 1 มี.ค. นี้

องค์การเภสัชฯ เตรียมทดสอบวัคซีนโควิด 19 ที่วิจัยร่วมกับพันธมิตร ในมนุษย์ระยะที่ 1 เดือน มี.ค.นี้ ด้าน “อนุทิน” เผย หากสำเร็จไทยจะมีโรงงานวัคซีนแห่งที่ 2 ต่อจากบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ กำลังผลิตที่ 25-30 ล้านโดสต่อปี

วันนี้ (10 กุมภาพันธ์ 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าว “องค์การเภสัชกรรม เดินหน้าศึกษาวิจัยทางคลินิกวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ในมนุษย์ระยะที่ 1” ซึ่งเป็นงานศึกษาวิจัยที่ได้รับความร่วมมือจากกระทรวงสาธารณสุข องค์การเภสัชกรรม มหาวิทยาลัยมหิดล และพันธมิตรในต่างประเทศ

โดย นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการทุกวิถีทางที่จะจัดหาวัคซีนสำหรับคนไทยทุกคน โดยยึดหลักประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ปลอดภัยสูงสุด คุ้มค่ามากที่สุด และเหมาะสมที่สุดกับประเทศไทย พร้อมทั้งได้เจรจาติดต่อกับผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ของโลกทุกราย ทำให้เบื้องต้นได้จัดหาวัคซีนทั้งสิ้น 63 ล้านโดสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพื่อฉีดให้กับทุกคน และกลุ่มเสี่ยงที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินไทย ช่วยเพิ่มความปลอดภัยทำให้ประเทศไทยสามารถผ่านพ้นสถานการณ์การระบาดนี้ไปได้ด้วยดี

นายอนุทินกล่าวต่อว่า รัฐบาลไทยได้ทำสัญญาและออกใบสั่งซื้อวัคซีนเรียบร้อยแล้ว การจัดส่งก็เป็นไปตามเงื่อนไข และเพื่อความมั่นใจได้จัดหาวัคซีนเร่งด่วนให้กับกลุ่มเสี่ยง โดยได้มาจากจีน 2 ล้านโดส ปลายเดือนกุมภาพันธ์ ส่งล็อตแรก 2 แสนโดส, มีนาคม 8 แสนโดส และเมษายน 1 ล้านโดส หลังจากนั้นคาดว่าปลายเดือนพฤษภาคมหรือมิถุนายนปีนี้ วัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตในประเทศไทยจะเริ่มจะทยอยส่งออกมา และที่สั่งไปล็อตแรก 26 ล้านโดสจะทยอยออกมา ดูจากไทม์ไลน์จะมีความต่อเนื่องกันจึงไม่ได้ล่าช้าแต่อย่างใด และรัฐบาลไม่ได้แทงม้าตัวเดียวอย่างที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ ความคืบหน้าที่เกิดขึ้นในวันนี้ สะท้อนว่า ประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการผลิตวัคซีนในประเทศแน่นอน

สำหรับวัคซีนโรคโควิด 19 ภายใต้ความร่วมมือ องค์การเภสัชกรรม (อภ.),สถาบัน PATH สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นองค์กรที่มุ่งพัฒนาเพื่อให้มีวัคซีนคุณภาพดี, ม.มหิดล ที่ได้ร่วมกันพัฒนาตั้งแต่กลางปี 2563 โดยเป็นการปรับใช้เทคโนโลยีไข่ไก่ฟักหรือชนิดเชื้อตาย ซึ่งเป็นเทคโนโลยีปัจจุบันที่ใช้ผลิตวัคซีนหลายชนิด รวมทั้งวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ล่าสุด ผลการวิจัย ทดสอบในสัตว์ทดลองพบว่ากระตุ้นภูมิคุ้นกันได้ผลดีและปลอดภัย

ขั้นต่อไปคือเตรียมทำการศึกษาวิจัยทางคลินิกในมนุษย์ ระยะที่ 1 ในเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งจะเปิดรับอาสาสมัคร210คน ทดลอง 3 ระยะ หากสำเร็จตามเป้า อภ.จะสามารถเริ่มขั้นตอนต่อไปคือการยื่นขอขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และผลิตระดับอุตสาหกรรมในโรงงานผลิตวัคซีนของ อภ. โดยจะสามารถผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้ ประมาณ 25-30 ล้านโดสต่อปี ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีโรงงานผลิตวัคซีนโควิด-19 ในประเทศเป็นแห่งที่ 2 ต่อจากบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ สร้างความมั่นคงทางวัคซีนให้กับประเทศและคนไทย

“ขอให้ประชาชนไว้วางใจ วัคซีนโควิด 19 ที่จะมาฉีดให้กับคนไทยไม่มีอิทธิพลทางการเมือง ไม่มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง ข้าราชการกระทรวงสาธารณสุขพยายามจัดหามาให้กับประชาชนเป็นไปตามกระบวนการ ตามกฎหมาย มีคณะกรรมการทางด้านวิชาการ และทางด้านการบริการสาธารณสุข คอยกำกับดูแลอย่างใกล้ชิด ขอยืนยันอีกครั้งในฐานะผู้ดำเนินนโยบายว่า ในนามของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขพร้อมที่จะสนับสนุนโครงการดีๆ เช่นนี้ โดยเฉพาะเรื่องของการพัฒนาวิจัยวัคซีนโควิด 19 ให้กับทุกองค์กรให้ประสบความสำเร็จ เพื่อนำความมั่นคงและความเชื่อมั่นมายังประเทศไทย และทำให้ประชาชนไทยปลอดภัยจากโรคระบาดโควิด 19 โดยเร็วที่สุด”