“โนเกีย” ฟีเจอร์โฟนยังไม่ตาย

Nokia 8210 4G

ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน ในโลกเทคโนโลยีเห็นชัดเจนมาก กรณี “โนเกีย” เคยยิ่งใหญ่มากในฐานะมือวางอันดับหนึ่งทั้งในแง่มาร์เก็ตแชร์ และความล้ำสมัยนำเทรนด์ แต่นั่นก่อนที่ “ไอโฟน” และมือถือหน้าจอสัมผัสจะครองโลกเช่นทุกวันนี้ แต่ถึงจะอย่างนั้น การกลับมาของโนเกียก็นับว่าน่าสนใจ กับการโฟกัสตลาด “ฟีเจอร์โฟน” จริงจัง เพื่อเข้าไปมีส่วนแบ่งในตลาดที่มียอดขายทั่วโลกกว่า 100 ล้านเครื่องต่อปี

ในประเทศไทย “เอชเอ็มดี โกลบอล” (HMD) ตัวแทนทางการตลาดมือถือ และแท็บเลต แบรนด์ “โนเกีย” ไม่ได้เปิดเผยตัวเลขชัดเจน แต่ระบุว่าตลาดโดยรวมน่าจะมียอดขายหลักล้านเครื่อง โดยโนเกียมีส่วนแบ่งในตลาดฟีเจอร์โฟนกว่า 50% ทั้งตั้งเป้าผลักดันให้ตลาดปีนี้ โตเพิ่มขึ้นกว่า 40%

ล่าสุด เปิดตัว 3 รุ่นใหม่ ได้แก่ Nokia 8210 4G ราคา 2,290 บาท, Nokia 5710 XpressAudio, ราคา 2,690 บาท และ Nokia 2660 Flip ราคา 2,490 บาท ที่จะวางจำหน่ายบนออนไลน์ และร้านค้าทั่วไปตั้งแต่ 1 ก.ย. เพื่อเจาะตลาดผู้สูงวัย, ผู้ชื่นชอบสไตล์ย้อนยุค และกลุ่มองค์กร

ทั้ง 3 รุ่น เป็นรุ่นคลาสสิก ที่นำกลับมาปลุกกระแส Retro ให้คืนชีพอีกครั้ง โดยอัพเกรดให้รองรับ 4G พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ และฟังก์ชั่นใหม่ที่ตอบสนองกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น เช่น โนเกีย 8210 4G หน้าจอ 2.8 นิ้ว กรอบจอแสดงผลปรับปรุงใหม่ ช่วยให้การพูดคุย และการส่งข้อความง่ายขึ้น รองรับ 4G LTE และ Bluetooth 5.0 พร้อมฟีเจอร์ฟังเพลง MP3 และวิทยุ FM ค้นหาคลื่นผ่านตัวเครื่องได้ พร้อมเกมงูในตำนาน

ส่วนโนเกีย 5710 XpressAudio เพิ่มลูกเล่นฝาหลังสไลด์ขึ้น-ลง หยิบใช้ง่าย เสียงคมชัด และชาร์จหูฟังอัตโนมัติ เมื่อไม่ได้ใช้ หน้าจอ 2.4 นิ้ว ใส่การ์ด MicroSD เพิ่มความจุสูงสุด 32GB และโนเกีย 2660 Flip ฟีเจอร์โฟนฝาพับในตำนาน จอหลัก 2.8 นิ้ว QVGA จอบนฝาพับ 1.77 นิ้ว ตัวเครื่องมีปุ่มกด tactile สัมผัสขนาดใหญ่ และฟังก์ชั่นช่วยฟัง

รวมกับ 3 รุ่นใหม่ที่กำลังจะทำให้ปัจจุบัน “โนเกีย” มีฟีเจอร์โฟนในตลาดถึง 7 รุ่น ก่อนหน้านี้มี 4 รุ่น ได้แก่ รุ่น 110, 105, 215, 225 ส่วนสมาร์ทโฟนก็มีนับสิบรุ่นเช่นกัน ทั้งในตระกูล C และ G โดยสัดส่วนการขายระหว่างฟีเจอร์โฟนกับสมาร์ทโฟน ในแง่จำนวนฟีเจอร์โฟนจะเยอะกว่าในอัตรา 70 : 30 ส่วนในแง่มูลค่าจะอยู่ที่ 60 : 40

“ภราดร รามบุตร” ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เอชเอ็มดี โกลบอล (HMD) กล่าวว่า บริษัทนำโนเกียกลับเข้าสู่ตลาดโลกอีกครั้ง เมื่อ 5 ปีที่แล้ว โดยนำสินค้าเรโทรกลับมา เช่น โนเกีย 3310 ได้รับความนิยมสูงสุด เมื่อเปิดตัวมาใหม่จึงได้รับการตอบรับที่ดีมาก โดยเฉพาะในไทย มีการถามหาต่อเนื่อง

ต่อมานำโนเกีย 8110 เข้ามาก็ได้รับการตอบรับดีมากจึงชัดเจนว่าเป็นสินค้าที่ยังมีความต้องการ อีกทั้งจากการสำรวจตลาดยังพบด้วยว่าโทรศัพท์แบบปุ่มกดที่รองรับ 4G มีโอกาสขายได้กว่า 157 ล้านเครื่อง หรือกว่า 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ใน 3 ปีข้างหน้า รองรับการอัพเกรด ระบบจาก 2G เป็น 4G ของผู้ให้บริการ

“เราดึงความเรียบง่ายของมือถือยุค 90s กลับมารีเมก อัพเกรดฟังก์ชั่นให้ทันสมัยขึ้น แต่ยังคงดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ สำหรับผู้บริโภคเฉพาะกลุ่มที่ยังต้องการใช้ เช่น ผู้สูงอายุ หรือกลุ่มเด็กที่เพิ่งเริ่มใช้ และกลุ่มที่พกเป็นเครื่องที่สอง รวมถึงกลุ่มองค์กรต่าง ๆ ที่ยังต้องการใช้พนักงานฟีเจอร์โฟน ทำให้ในปีที่ผ่านโทรศัพท์ปุ่มกดมียอดขายทั่วโลกถึง 100 ล้านเครื่อง”