Apple TV+ เล็งประมูลสิทธิถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีก เตรียมทุ่มพันล้านเหรียญทำหนังฉายโรง

apple TV+ เร่งเครื่องแข่ง
ทิม คุก ซีอีโอ Apple/ Michael Tran/ AFP

Apple TV+ เร่งเครื่องสู้ศึกสตรีมมิ่ง เล็งประมูลสิทธิถ่ายทอดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกเป็นหมัดเด็ดดึงคนดู และเตรียมทุ่มงบประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์ทำหนังฉายโรง เพื่อดึงดูดคนทำหนังเก่ง ๆ ไปร่วมงาน และดึงดูดสมาชิกด้วยในเวลาเดียวกัน 

Apple เปิดบริการสตรีมมิ่งที่มาพร้อมออริจินอลคอนเทนต์ ที่เน้นภาพยนตร์ เมื่อปลายปี 2019 ในชื่อ Apple TV+ ผ่านมาถึงตอนนี้ Apple TV+ มีสมาชิกน้อยกว่าคู่แข่ง โดยคาดว่า Apple TV+ มีจำนวนสมาชิกอยู่ระหว่าง 20-40 ล้านราย ขณะที่ Netflix มีอยู่ 231 ล้านราย, Amazon Prime มีอยู่ 200 ล้านราย และ Disney+ มีอยู่ 161.8 ล้านราย 

ด้วยความเป็นผู้ตามที่พยายามจะเร่งเครื่องขึ้นสู้คู่แข่งให้ได้ เราจึงน่าจะได้เห็นมูฟเมนต์สำคัญของ Apple ในเร็ว ๆ นี้ ตามที่มีข่าวแพลม ๆ ออกมาแล้ว   

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2566 สำนักข่าว Bloomberg รายงานอ้างอิงแหล่งข่าวที่รู้แผนธุรกิจภายในของ Apple ว่า Apple กำลังพิจารณาที่จะเข้าร่วมประมูลสิทธิการถ่ายทอดสดฟุตบอลฟรีเมียร์ลีกรวมถึงฟุตบอลลีกอังกฤษระดับต่ำลงไปที่อยู่ในการจัดการของ English Football League (EFL) 

ความเคลื่อนไหวที่คาดว่าจะเกิดขึ้นนี้เป็นความพยายามจะยกระดับความทะเยอทะยานด้านคอนเทนต์กีฬา และเพิ่มการแข่งขันกับ Prime Video ของ Amazon.com ซึ่งถือครองสิทธิการถ่ายทอดสดกีฬารายการยอดนิยมหลายรายการ อย่างอเมริกันฟุตบอล NFL (National Football League) และเบสบอล Major League 

ความเคลื่อนไหวนี้เป็นการต่อยอดจากการขยายเนื้อหาด้านกีฬาของ Apple TV+ ซึ่งล่าสุดได้ทำข้อตกลงกับ Major League Soccer เป็นเวลา 10 ปี มูลค่าดีล 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอล Major League Soccer และยังมีการสตรีมการแข่งขันเบสบอล Major League ในคืนวันศุกร์ด้วย รวมไปถึงหนึ่งใน Ted Lasso ซีรีส์ยอดนิยมของ Apple TV+ ก็เป็นเรื่องของโค้ชฟุตบอลชาวอเมริกันในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ 

apple TV+ เล็งถ่ายทอดบอลพรีเมียร์ลีก
ผู้บริหาร Apple กับผู้เล่น Major League Soccer ที่เปิดฤดูกาลแข่งขัน 2023 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา/ Apple


การเข้าสู่การประมูลสิทธิการถ่ายทอดสดฟุตบอลอังกฤษ Apple ต้องสู้กับบริษัทสื่อที่ครองตลาดนี้อยู่ อย่าง Comcast Corp. เจ้าของ Sky และ Warner Bros. Discovery Inc. ซึ่งเมื่อปีที่แล้วบรรลุข้อตกลงที่จะร่วมทุนกับ BT Sport นอกจากนี้ยังจะทำให้ Apple สามารถท้าแข่งกับ Amazon ซึ่งครองสิทธิถ่ายทอดสดฟุตบอลยุโรปอยู่

ทั้งนี้ โฆษกของ Apple ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นต่อข่าวนี้ ขณะที่พรีเมียร์ลีกอังกฤษปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นว่า Apple แสดงความสนใจในการประมูลสิทธิหรือไม่ 

ส่วนฝั่งออริจินอลคอนเทนต์ Apple ก็เตรียมสู้อย่างดุเดือด ในวันเดียวกัน (23 มีนาคม 2566) Bloomberg รายงานอีกข่าวอ้างอิงแหล่งข่าวที่รู้ถึงแผนธุรกิจของ Apple ว่า Apple วางแผนที่จะใช้เงิน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีในการผลิตภาพยนตร์ออกฉายในโรงภาพยนตร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอันทะเยอทะยานที่จะยกระดับโปรไฟล์ของบริษัทในฮอลลีวูด และดึงดูดผู้ชมให้สมัครสมาชิกบริการสตรีมมิ่ง Apple TV+ 

แหล่งข่าวของ Bloomberg บอกรายละเอียดว่า Apple ได้ติดต่อสตูดิโอภาพยนตร์เกี่ยวกับการร่วมเป็นพันธมิตรเพื่อปล่อยภาพยนตร์ออกฉายในโรงภาพยนตร์สองสามเรื่องในปีนี้ และจะมีตามมาอีกในอนาคต 

รายชื่อภาพยนตร์ที่คาดว่าน่าจะเข้าฉายในปีนี้ ได้แก่ “Killers of the Flower Moon” ของมาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) ซึ่งนำแสดงโดยลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ (Leonardo DiCaprio), ภาพยนตร์ระทึกขวัญเกี่ยวกับแนวสายลับ “Argylle” ของผู้กำกับ แมทธิว วอห์น (Matthew Vaughn) และ “Napoleon” ภาพยนตร์ดราม่าเรื่องจักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศส ของผู้กำกับริดลีย์ สก็อตต์ (Ridley Scott) 

การลงทุนในจำนวนนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากจากปีที่ผ่าน ๆ มา ก่อนหน้านี้ภาพยนตร์ออริจินอลของ Apple ส่วนใหญ่จะเป็นการสร้างเพื่อเผยแพร่ในบริการสตรีมสิ่ง Apple TV+ เท่านั้น หรือไม่ก็ออกฉายในโรงภาพยนตร์ในจำนวนจำกัด แต่แนวทางกำลังเปลี่ยนไป ตามที่แหล่งข่าวให้ข้อมูลว่า Apple ให้คำมั่นว่าจะฉายภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์หลายพันแห่งเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือน แต่ยังไม่มีการสรุปแผนขั้นสุดท้าย 

Bloomberg ระบุว่า Apple ตกลงที่จะนำภาพยนต์เข้าฉายในโรงภาพยนตร์เพื่อดึงดูดคนมีฝีมือในวงการภาพยนตร์มาสร้างสรรค์ผลงานให้ Apple TV+ เพื่อที่จะเอาชนะคู่แข่งให้ได้ ขณะเดียวกัน Apple ก็มองว่าการนำภาพยนตร์เข้าฉายในโรงเป็นวิธีสร้างการรับรู้ให้บริการสตรีมมิ่ง Apple TV+ ไปด้วย 

Bloomberg บอกอีกว่า Apple ยังไม่รู้ว่าจะเผยแพร่ภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์อย่างไร เพราะพวกเขาไม่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการฉายภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์พร้อมกันหลายพันแห่งทั่วโลก ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม Apple จึงต้องติดต่อผู้จัดจำหน่ายที่จะทำเรื่องนี้ให้ แต่ก่อนอื่น Apple ต้องทำข้อตกลงเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมการจัดจำหน่าย และงบประมาณด้านการตลาดกับพันธมิตรที่มีศักยภาพก่อน  

สตูดิโอภาพยนตร์สามารถใช้จ่ายเงินถึง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือมากกว่านั้น เพื่อทำการตลาดภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ ซึ่งมากกว่าที่แพลตฟอร์มสตรีมมิ่งใช้ในการโปรโมตรายการหรือภาพยนตร์ใหม่

Apple TV+ ก็เช่นเดียวกับบริการสตรีมมิ่งส่วนใหญ่ที่ใช้เงินไปกับรายการทีวีมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้น Apple ก็ได้ให้เงินสนับสนุนภาพยนตร์ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งสตูดิโอในฮอลลีวูด และความทะเยอทะยานของ Apple ในภาพยนตร์ก็เพิ่มมากขึ้นนับตั้งแต่ที่คว้ารางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี 2021 จากเรื่อง CODA ซึ่ง Apple ซื้อภาพยนตร์เรื่องนี้มาจากเทศกาลภาพยนตร์ Sundance ในมูลค่า 25 ล้านดอลลาร์ แล้วจัดจำหน่ายพร้อมกันทั้งในโรงภาพยนตร์และทาง Apple TV+ 

ทั้งนี้ ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Apple และ Amazon.com กำลังเพิ่มการลงทุนในธุรกิจสื่อบันเทิง ขณะที่กำลังลดค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นลง Amazon เพิ่งประกาศเลิกจ้างพนักงานอีกรอบ จำนวนเกือบหมื่นคน ในขณะที่ Apple กำลังลดค่าใช้จ่ายในส่วนอื่นโดยไม่ได้เลิกจ้างพนักงาน