มัดรวม ผลประกอบการ 5 บิ๊กเทค ขวัญใจนักลงทุน

Background Image by wirestock on Freepik

เปิดผลประกอบการกลุ่ม “FAANG” หุ้นบิ๊กเทคขวัญใจนักลงทุน พบรายได้เพิ่มขึ้นจากโฆษณา-บริการ พร้อมต่อยอดธุรกิจด้วยการลงทุนใน AI

วันที่ 6 สิงหาคม 2566 ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า ในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นช่วงที่บิ๊กเทคระดับโลกขวัญใจนักลงทุนอย่างกลุ่ม “FAANG” หรือเฟซบุ๊ก (Facebook), แอปเปิล (Apple), แอมะซอน (Amazon), เน็ตฟลิกซ์ (Netflix) และกูเกิล (Google) ทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2566 ซึ่งหลายบริษัทก็มีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก หลังจากที่ปีก่อนหน้าประสบปัญหาเรื่องการสร้างรายได้ จนส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น และต้องมีการปลดพนักงานจำนวนมาก

Facebook หรือเมตา (Meta)

จากรายงานผลประกอบของ Meta ระบุว่า รายได้ในไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า 11% ส่วนรายได้จากโฆษณาที่เป็นธุรกิจทำเงินของบริษัทก็เพิ่มขึ้นราว 12% เช่นกัน ซึ่งการฟื้นตัวของธุรกิจโฆษณาจะผลักดันการเติบโตของรายได้ในอัตราที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่ปี 2564

โดยปัจจัยที่ทำให้รายได้จากธุรกิจโฆษณาของ Meta ฟื้นตัว เป็นผลมาจากการลงทุนใน Reels หรือฟีเจอร์วิดีโอสั้นบน Instagram และ Facebook ที่สร้างขึ้นเพื่อคัดลอกรูปแบบของคู่แข่งรายสำคัญอย่าง TikTok มีการใช้งานมากกว่า 2 แสนล้านครั้งบน Instagram และ Facebook และได้รับความนิยมมากขึ้นเนื่องจากมีการปรับปรุงการแสดงผลตามความสนใจของผู้ใช้งานแต่ละคน

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานด้วยว่า นี่เป็นก้าวของยักษ์ใหญ่ด้านโซเชียลมีเดียที่ไม่ได้เห็นมาตั้งแต่เศรษฐกิจซบเซา และการเปลี่ยนแปลงกฎความเป็นส่วนตัวจาก Apple ที่นำไปสู่ความพ่ายแพ้ในการขายพื้นที่โฆษณาของ Meta ซึ่งการที่รายได้ลดลงเป็นครั้งแรกในปีก่อนหน้า ได้ส่งแรงสั่นสะเทือนไปยังความเชื่อมั่นของนักลงทุนอีกด้วย

ซึ่งการเติบโตของรายได้จากธุรกิจโฆษณา อาจช่วยให้ Meta มีงบประมาณครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการพัฒนา AI และเทคโนโลยีเกี่ยวกับเมตาเวิร์ส (Metaverse) ตามเจตนารมณ์ของมาร์ก ซักเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ต่อไป

ทั้งนี้ ซูซาน ลี (Susan Li) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Meta ยังระบุว่า บริษัทยังคงมุ่งเน้นไปที่การลงทุนใน “โอกาส” ที่เทคโนโลยีที่มีความสำคัญในอนาคต โดยเฉพาะ AI และเมตาเวิร์ส

Apple

จากรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ตามปีงบการเงิน 2566 (สิ้นสุด ณ วันที่ 1 ก.ค.) ของ Apple ระบุว่า ยอดขายประจำไตรมาสอยู่ที่ 8.18 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 1% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 8.16 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยยอดขายประจำไตรมาส 3 ตามปีงบการเงิน 2566 ของแต่ละผลิตภัณฑ์เป็นดังนี้

  • iPhone มียอดขายอยู่ที่ 3.96 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ 4.06 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 2%
  • Mac มียอดขายอยู่ที่ 6.84 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ 7.38 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 7%
  • iPad มียอดขายอยู่ที่ 5.79 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ 7.22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 20%
  • อุปกรณ์สวมใส่และอื่น ๆ เช่น Apple Watch และ AirPods มียอดขายอยู่ที่ 8.28 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ 8.08 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 2%
  • กลุ่มบริการ เช่น Apple TV+ มียอดขายอยู่ที่ 2.12 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ 1.96 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 8%

ลูก้า แมสตรี (Luca Maestri) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Apple คาดการณ์ว่า ยอดขาย Mac และ iPad ในไตรมาส 4 ตามปีงบการเงิน 2566 อาจลดลงเป็นเลข “สองหลัก” อีก เพราะเป็นผลพวงมาจากการที่กระบวนการผลิตของผลิตภัณฑ์ทั้งสองประเภทต้องหยุดชะงักจากคำสั่งปิดโรงงานเพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 ทำให้ Apple ต้องพยายามจัดการสต๊อกให้เพียงพอต่อความต้องการของคอนซูเมอร์มากที่สุด

Amazon

ผลประกอบการของ Amazon ยักษ์ด้านบริการคลาวด์และค้าปลีกของโลก ก็มีแนวโน้มที่ดีเช่นกัน โดยรอยเตอร์ (Reuters) รายงานว่า ในไตรมาส 2/2566 รายได้อยู่ที่ 1.34 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 11% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 1.31 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนกำไรจากการดำเนินธุรกิจอยู่ที่ 6.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ราคาหุ้นของ Amazon เพิ่มขึ้น 9% หลังจากประกาศผลประกอบการ

ไบรอัน โอลซาฟสกี้ (Brian Olsavsky) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Amazon กล่าวกับรอยเตอร์ว่า แม้รายได้ครัวเรือนจะยังคงตึงตัว แต่มรสุมจากอัตราเงินเฟ้อกำลังผ่อนคลายลง ทำให้ลูกค้าเริ่มจับจ่ายใช้สอยผ่านบริการของ Prime มากขึ้น รวมถึงบริษัทก็ได้จัดระเบียบการจัดการสินค้าและเปิดคลังสินค้าใกล้พื้นที่เมืองใหญ่สำหรับการจัดส่งในวันเดียวกัน ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและต้นทุนในการจัดส่ง

“ตอนนี้ Amazon คาดหวังว่ายอดขายช่วง ‘Prime Day’ หรือวันแห่งการซื้อของครั้งใหญ่จะพุ่งกระฉูด เพราะเป็นแคมเปญการตลาดแบบสายฟ้าแลบที่เราเริ่มทำเมื่อเดือนก่อน”

นอกจากนี้ ในแถลงการณ์ของ Amazon ยังระบุด้วยว่า ธุรกิจคลาวด์เป็นกุญแจสำคัญของการสร้างรายได้ในช่วงที่ผ่านมา เพราะบริษัทต่าง ๆ เริ่มยอมรับการใช้งานคลาวด์มากขึ้น โดยรายได้ไตรมาส 2/2566 จากธุรกิจคลาวด์อยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 12% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

ทั้งนี้ แอนดี้ แจสซี (Andy Jassy) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Amazon กล่าวด้วยว่า บริษัทลงทุนใน Amazon Web Services (AWS) ด้วยเงินมากกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพัฒนาโซลูชั่นที่ช่วยสนับสนุนการทำงานของลูกค้ามากขึ้น

“ส่วนธุรกิจด้านค้าปลีกหรืออีคอมเมิร์ซ เราตั้งเป้าที่จะสร้างรายได้ในส่วนของ B2B เป็นปีละ 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ จากที่แต่เดิมธุรกิจส่วนนี้สามารถสร้างรายได้ปีละประมาณ 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนแผนการพัฒนา AI ก็มีอยู่หลายโครงการเช่นกัน”

Netflix

แม้ว่าปี 2565 จะเป็นปีแห่งมรสุมสำหรับ Netflix ที่ต้องเผชิญปัญหาเกี่ยวกับการสร้างรายได้และการสูญเสียยอดสมาชิกกว่า 200,000 ราย เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี แต่หลังจากบริษัทแก้เกมด้านการสร้างรายได้และประกาศใช้ระบบจ่ายค่าสมาชิกเสริมเมื่อแชร์รหัสนอกบ้าน (paid sharing) ผลประกอบการก็เริ่มส่งสัญญาณในเชิงบวก

จากข้อมูลในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นของ Netflix ระบุว่า รายได้ไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 8.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นมูลค่าตามที่บริษัทคาดการณ์ไว้ รวมถึงการเติบโตของรายได้มีแนวโน้มจะเร่งตัวขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ด้วย

โดย Netflix ระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้บริษัทมีรายได้ตามเป้าที่คาดการณ์ไว้ คือความสำเร็จในการเปิดตัวระบบ paid sharing ในกว่า 100 ประเทศ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 80% ของรายได้ทั้งหมด

ทั้งนี้ รายได้ในแต่ละภูมิภาคสูงกว่าช่วงก่อนเปิดตัวระบบ paid sharing และมีจำนวนผู้ใช้งานที่ลงทะเบียนในระบบเกินจำนวนผู้ใช้งานที่ยกเลิกแพ็กเกจแล้ว รวมถึงจำนวนผู้ใช้งานรายใหม่ในไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 5.9 ล้านราย ในขณะที่จำนวนผู้ใช้งานรายใหม่ในไตรมาส 1/2566 มีเพียง 1.8 ล้านรายเท่านั้น

นอกจากนี้ Netflix ยังตั้งเป้าสร้างรายได้ในไตรมาส 3/2566 ที่ 8.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และสร้างกำไรจากการดำเนินงานในปี 2566 ที่ 18-20% ด้วย โดยใช้ประโยชน์จากแพ็กเกจโฆษณาและการเก็บค่าบริการระบบ paid sharing ต่อไป

Google หรืออัลฟ่าเบท (Alphabet)

ด้าน Alphabet บริษัทแม่ของ Google มีผลประกอบการที่ดีเกินคาด โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตของธุรกิจคลาวด์และโฆษณา ส่งผลให้ราคาหุ้นของ Alphabet เพิ่มขึ้นราว 7% ในการซื้อขายเมื่อวันที่ 1 ส.ค. ที่ผ่านมา (ตามเวลาสหรัฐ)

รายงานจาก Alphabet ระบุว่า รายได้ไตรมาส 2/2566 อยู่ที่ 7.46 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่คาดการณ์ไว้ที่ 7.28 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ 6.9 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 7% โดยสัดส่วนรายได้ของแต่ละธุรกิจเป็นดังนี้

  • รายได้จากธุรกิจคลาวด์ของ Google รวมถึงโครงสร้างพื้นฐาน และแอปเกี่ยวกับการทำงานในออฟฟิศเพิ่มขึ้น 28% ทำกำไรจากการดำเนินงานตั้งแต่ไตรมาส 1/2566 รายงานรายได้จากการดำเนินงานล่าสุดอยู่ที่ 395 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังจากขาดทุน 590 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีก่อนหน้า
  • รายได้จากโฆษณาของ Google เพิ่มขึ้น 3.3% เป็น 5.81 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จาก 5.63 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปีก่อนหน้า
  • รายได้จากโฆษณาบน YouTube ทำรายได้เหนือความคาดหมายของนักวิเคราะห์ที่ 7.67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 7.34 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีก่อนหน้า แม้จะต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นจาก TikTok
  • รายได้จาก “การค้นหาและอื่น ๆ” ของ Google เพิ่มขึ้นเป็น 4.26 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีก่อนหน้า

ที่ผ่านมา Alphabet รายงานผลการเติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียว (Single Digit) ติดกันสี่ไตรมาส เนื่องจากพิจารณาถึงการลดลงของเม็ดเงิน “โฆษณาออนไลน์” ที่ลดลง สะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจ นักวิเคราะห์คาดว่าการเติบโตจะไม่แตะเลขสองหลักอีกจนกว่าจะถึงไตรมาส 4/2566 แต่การประกาศผลประกอบการไตรมาสล่าสุดบ่งชี้ว่าโฆษณาออนไลน์จะพลิกกลับมาเติบโตได้