“มนุษย์ดิจิทัล” เทรนด์ใหม่บนโลกไลฟ์คอมเมิร์ซ

digital

จีนเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าด้าน “อีคอมเมิร์ซ” อันดับต้น ๆ ของโลก และยังเป็นเทรนด์เซตเตอร์ ที่ขยายความสำเร็จของการขายสินค้าออนไลน์รูปแบบใหม่ ๆ ไปในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะ “ไลฟ์คอมเมิร์ซ” ที่แจ้งเกิดนักไลฟ์มือทอง และ KOLs ที่สร้างรายได้จากการไลฟ์เป็นกอบเป็นกำ

การเติบโตของไลฟ์คอมเมิร์ซไม่ได้เดบิวต์นักไลฟ์หรือ KOLs หน้าใหม่เท่านั้น ยังทำให้ “มนุษย์ดิจิทัล” (Digital Human) ที่เกิดจาก AI มีโอกาสเฉิดฉายในโลกการไลฟ์อีกด้วย

สำนักข่าว Jing Daily ยกตัวอย่างกรณี “หลิว รัน” (Liu Run) อินฟลูเอนเซอร์ชาวจีน ที่มีผู้ติดตามบนโตว่อิน (Douyin) มากกว่า 1 ล้านรายว่า ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา “หลิว” ได้ใช้เทคโนโลยี “ดีปเฟก เอไอ” (Deepfake AI) สร้างตัวตนเสมือนขึ้นมาไลฟ์บอกเล่าเคล็ดลับเกี่ยวกับการทำธุรกิจ ปรากฏว่ามีผู้ติดตามจำนวนน้อยมากที่ระบุได้ว่าคนที่ไลฟ์อยู่เป็น “ร่างโคลน” โดย Deepfake AI

แม้การใช้ร่างโคลนเป็นตัวแทนในการไลฟ์จะช่วยทลายข้อจำกัดหลายอย่าง โดยเฉพาะการไลฟ์ต่อเนื่องหลายชั่วโมง ทั้งยังลดต้นทุนในการจ้างนักไลฟ์มากความสามารถที่ค่าตัวสูงลิบลิ่ว แต่ในอีกมุม “ผู้บริโภค” บางส่วนไม่ได้รู้สึกยินดีที่แบรนด์หรือ KOLs จะใช้วิธีนี้ เพราะมองว่าขาดความจริงใจในการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา

อีกกรณี เกิดขึ้นในเดือน ก.ย. 2566 ที่ผ่านมา เมื่อ “คาลวิน เฉิน” (Calvin Chen) หนึ่งในสมาชิกบอยแบนด์วง Fahrenheit ที่มีผู้ติดตามกว่า 9 ล้านคน ใช้ร่างโคลน AI ของตนเองไลฟ์ต่อเนื่อง 15 ชั่วโมง ในเวลาต่อมาเมื่อการไลฟ์ดังกล่าวได้รับการเปิดเผยว่า เป็นคอนเทนต์ที่สร้างจาก AI เขาก็สูญเสียผู้ติดตามไปกว่า 7,000 คน ภายในช่วง 3 วันหลังจากนั้น

อย่างไรก็ตาม ความสามารถของเทคโนโลยีที่สร้างตัวตนเสมือนของใครต่อใครได้เพียงใช้แค่รูปภาพหรือวิดีโอของคนคนนั้น กำลังได้รับการจับตาจากทางการจีนเป็นอย่างมาก

ADVERTISMENT

โดย สำนักข่าว Jing Daily เปิดเผยว่า ทางการจีนได้เผยแพร่แนวทางปฏิบัติสำหรับการใช้ Generative AI ในภาคธุรกิจอย่างมีจริยธรรม และระบุด้วยว่าเมื่อข้อมูลไบโอเมตริกซ์ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งถูกจำลองผ่าน AI ต้องได้รับความยินยอมอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย

แต่ถึงอย่างนั้น เหล่าบิ๊กเทคสัญชาติจีน เช่น ไป่ตู้ (Baidu), เทนเซนต์ (Tencent) และอาลีบาบา (Alibaba) ยังคงเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีมนุษย์ดิจิทัลของตนเอง เพื่อต่อยอดให้เกิดการสร้างธุรกิจใหม่ และนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ

ซึ่งปัจจุบันมีตัวอย่างการใช้งานให้เห็นเป็นรูปเป็นร่างอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น “ไลฟ์คอมเมิร์ซ”, การประชุมและงานสัมมนา, การรายงานข่าว และคอนเสิร์ต-อีเวนต์ออนไลน์ต่าง ๆ

สอดคล้องกับการคาดการณ์ของ IDC บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาด้านการตลาดในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ระบุว่า มูลค่าตลาดมนุษย์ดิจิทัลของจีนจะสูงถึง 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2569

และภายในปี 2566 นักไลฟ์ชาวจีนจะสามารถสร้างยอดขายได้ประมาณ 6.89 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วนกว่า 11% ของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในประเทศ

ก่อนหน้านี้ “สุรศักดิ์ วนิชเวทย์พิบูล” CTO, Huawei Thailand Cloud Business เปิดเผยว่า ปัจจุบันโครงสร้างพื้นฐานด้านคลาวด์ และ AI ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการที่ความหน่วงในการส่งข้อมูลต่ำมาก (Ultra-Low Latency) ช่วยให้เกิดการพัฒนานวัตกรรม Virtual Avatar หรือการใช้ AI ในการสร้างตัวตนเสมือนได้ง่ายขึ้น

“หัวเว่ยในจีนทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์ในโปรเจ็กต์ที่ชื่อ MetaStudio พัฒนาการสร้างอวตาร์ในรูปแบบต่าง ๆ ให้มีความสมจริง และเป็นธรรมชาติ ถ้าเป็นอวตาร์ที่พูดภาษาจีนหรือภาษาอังกฤษ ตอนนี้ทำได้ในเกณฑ์ที่น่าพอใจมาก ส่วนภาษาไทยค่อนข้างซับซ้อนกว่าภาษาอื่น ๆ ก็มีการเทรนโมเดลที่เป็นภาษาไทยโดยเฉพาะ คาดว่าจะได้เห็นความคืบหน้าในช่วงปลายปีนี้”

“สุรศักดิ์” กล่าวด้วยว่า เทคโนโลยีการสร้างอวาตาร์ได้รับความนิยมมากขึ้น และเกิดการใช้งานจริงในหลายกรณี เช่น ซีอีโอ บริษัทแห่งหนึ่งในฟิลิปปินส์ สร้างอวาตาร์ตนเองขึ้นมาเพื่อทำวิดีโออวยพรเทศกาลคริสต์มาสให้พนักงานในบริษัท

“Virtual Avatar จะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจอีกมาก อย่างกรณีวิสาหกิจชุมชนในจีนแห่งหนึ่ง เป็นหมู่บ้านทอผ้าเล็ก ๆ ที่ทำสินค้าออกมาดีมาก แต่ไม่รู้จะไปขายอย่างไร ก็สร้างอวตาร์เป็นตัวแทนไลฟ์ขายสินค้า ให้ระบบรันโดยอัตโนมัติ ขณะที่ผู้ประกอบการก็ได้ทำในสิ่งที่ตนเองถนัด”

การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI ที่พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วจึงนับเป็นความท้าทายด้านจริยธรรมไปพร้อม ๆ กัน