นายณรงค์พนธ์ บุญทรงไพศาล หัวหน้าโครงการบริษัทร่วมทุนอินเวนต์ บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ กล่าวว่า แผนการลงทุนในสตาร์ตอัพผ่านโครงการอินเวนต์ (InVent) ของบริษัทในปีนี้ ยังมีงบฯลงทุน 200 ล้านบาท เหมือนที่ผ่านมา แต่สามารถขอเพิ่มได้ถ้าเจอสตาร์ตอัพที่น่าสนใจ โดยปีนี้จะเน้นลงทุนในสตาร์ตอัพที่พัฒนาเทคโนโลยีรองรับ 5G และดิจิทัลไลฟ์สไตล์ รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ อาทิ บล็อกเชน โดยในไตรมาส 2 จะเปิดตัวอีก 2 สตาร์ตอัพด้านบล็อกเชน และเฮลท์เทค และกำลังขออนุมัติลงทุนอีก 5 บริษัท ซึ่งเกี่ยวกับ 5G
ขณะที่ล่าสุดได้ลงทุน 40 ล้านบาท กับบริษัท อีคาร์ทสตูดิโอ จำกัด (Ecartstudio) บริษัทพัฒนาและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโปรแกรมประยุกต์ทางด้านภูมิศาสตร์ (enterprise location-based application) เนื่องจากมองว่าเทคโนโลยี location based services นำมาใช้ในธุรกิจอื่นได้ ทั้งค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ และประยุกต์กับ 5G ได้
“มองว่า 5G ควรลงทุนตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่จำเป็นต้องรอ เพราะถ้ารออาจทำให้การลงทุนมีมูลค่าสูงขึ้น และเพื่อให้บริการได้ทันเมื่อ 5G เกิด”
ปัจจุบันอินทัชลงทุนในสตาร์ตอัพแล้วกว่า 500 ล้านบาท กับ 17 สตาร์ตอัพ ปีที่แล้วมูลค่าเติบโตรวมกัน 30-40% และมีรายได้รวมกว่า 1,200 ล้านบาท กว่าครึ่งสามารถทำกำไรได้แล้ว
“จากนี้จะไม่ลงเงินในซีรีส์ A และ B เหมือนที่ผ่านมา แต่จะเริ่มลงทุนตั้งแต่ระดับ seed เพราะ 5G เป็นเรื่องใหม่ แต่ละรายจะลงราว 20-40 ล้านบาท”
ภาพรวมของสตาร์ตอัพในไทยยังเติบโตต่อเนื่อง ปีที่ผ่านมามีแอ็กทีฟราว 1,000 ราย แต่ยังเติบโตช้ากว่าต่างประเทศ ด้วยจำนวนประชากรที่ไม่ได้มากและการขยายตลาดไปต่างประเทศที่ยังไม่ง่าย ดังนั้นจะอยู่รอดได้ต้องใช้โมเดลธุรกิจแบบ B2B (ธุรกิจต่อธุรกิจ)
นายวุฒิกร มโนมัยวิบูลย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อีคาร์ทสตูดิโอ จำกัด กล่าวว่า 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้พัฒนา smart city platform ทั้งสำหรับลูกค้า B2B และ B2C เพิ่มจากระบบบนเว็บไซต์ ในส่วนของ B2C platform นั้น ได้พัฒนาแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ เช่น แอปพลิเคชั่น ServLive อำนวยความสะดวกผู้อาศัยคอนโดมิเนียม, แอปพลิเคชั่น Taxi-Beam และ Bus-Beam เพื่อให้เข้าถึงรถสาธารณะได้สะดวก และ InMall ให้เดินห้างเสมือนจริงได้
ส่วน B2B นั้น ได้ประยุกต์ใช้ location-based พัฒนาระบบ LBIS (location based information system), LIMS (location information management system) และ EcartMap ให้รองรับการสร้างและบริหารการวางระบบสาธารณูปโภคของประเทศ ทั้งระบบคมนาคม, พลังงาน, การจัดการน้ำโดยเงินลงทุนที่ได้รับ จะนำไปพัฒนาบริการและเพิ่มทีมงาน ให้โตได้ 20% ใน 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า ปัจจุบันมีสัดส่วนลูกค้าเอกชน 40% และองค์กรภาครัฐ 60%
ภายในปี 2020 บริษัทคาดว่ามีฐานลูกค้าบุคคลประมาณ 1 ล้านคนทั่วประเทศ และมีแผนงานที่จะขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยเริ่มจากประเทศบรูไนและอินโดนีเซีย