หลายสิบปีก่อน เราตื่นเต้นกับก้าวแรกบนดวงจันทร์ของ “นีล อาร์มสตรอง” แต่อีกไม่กี่วันข้างหน้า โลกกำลังจับตาการทัวร์อวกาศครั้งแรกของ 2 มหาเศรษฐีโลก “ริชาร์ด แบรนสัน” แห่งอาณาจักรเวอร์จิ้น และเจ้าพ่ออีคอมเมิร์ซ “เจฟ เบโซส” แห่งอเมซอน
ทั้งคู่มีกำหนดขึ้นท่องอวกาศในเดือนนี้ (แบรนสัน 11 ก.ค. ส่วนเบโซส 20 ก.ค.) เหมือนกัน โดยผู้ก่อตั้ง “อเมซอน” จะเดินทางท่องอวกาศพร้อมกับน้องชายของเขา
- สมชัย เลิศสุทธิวงค์ ซีอีโอ “เอไอเอส” สละโสดในวัย 62 ปี
- กองทุนประกันวินาศภัยถังแตก แจ้งชะลอจ่ายคืนหนี้ตั้งแต่ มี.ค. 2567
- ออมสิน ฉลองครบวาระ 111 ปี จัดเต็ม สลากออมสินลุ้นรางวัลใหญ่ 111 ล้านบาท
และผู้ชนะการประมูลชิงตั๋วที่นั่งในการทัวร์อวกาศ ซึ่งมีคนสนใจร่วมประมูลหลายพันคน จาก 140 กว่าประเทศ เห็นว่าผู้ชนะยอมจ่ายถึง 84 ล้านบาท แลกกับประสบการณ์ไร้น้ำหนักนอกโลก เพียงแค่ไม่กี่วินาที
ไม่เฉพาะมหาเศรษฐีโลก คนไทยบริษัทไทยที่สนใจกิจการเกี่ยวกับอวกาศก็มี เป็นสตาร์ตอัพสัญชาติชื่อ “มิวสเปซฯ” และเป็น 1 ใน 2 บริษัทที่ขอรับเอกสารการคัดเลือกการอนุญาตให้ใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมในลักษณะจัดชุด (package) จาก กสทช.
“ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสพูดคุยกับ “วรายุทธ เย็นบำรุง” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิว สเปซ แอนด์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนการบิน อวกาศ และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียม โดยเขาปฏิเสธที่จะพูดถึงการเข้าร่วมประมูลไลเซนส์ดาวเทียมจาก กสทช. และพูดถึงเป้าหมายของบริษัทว่า คือความต้องการในการหาทรัพยากรใหม่ ๆ ให้กับโลก
เพราะปัจจุบันทรัพยากรทั่วโลกลดลงเรื่อย ๆ สวนทางกับจำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายระยะยาวในอีก 10 ปีข้างหน้า ที่จะนำเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่พัฒนาขึ้นมาปล่อยขึ้นสู่ดวงจันทร์ให้ได้
“ปีนี้เป็นปีที่ 4 ของบริษัท มิว สเปซฯที่ผ่านมา เราส่งอุปกรณ์ขึ้นไปบนอวกาศมาแล้ว 4 ครั้ง”
ตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนอวกาศ
สำหรับแผนงานปีนี้ จะโฟกัสที่การสร้างดาวเทียมของตนเองเป็นภารกิจหลัก ล่าสุดเพิ่งได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในชั้น A1
ซึ่งถือเป็นชั้นสูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ประเภทกิจการผลิต หรือซ่อมอากาศยาน และอุปกรณ์เกี่ยวกับอากาศ ซึ่งใช้การผลิตชิ้นส่วนดาวเทียมขนาดเล็ก
โดยมีเป้าหมายผลักดันให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมอวกาศ ล่าสุดเพิ่งเปิดตัวโรงงานใหม่ ชื่อ Factory 1 ที่ดอนเมือง ถือเป็นโรงงานแห่งที่ 2 เพื่อพัฒนา ทดสอบ
และผลิตชิ้นส่วนดาวเทียม และระบบพลังงานสำหรับการใช้งานบนอวกาศ และโทรคมนาคม รวมถึงดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO)
หลังจากปลายปี 2563 เปิดโรงงานผลิตขนาดเล็ก Factory 0 รองรับการพัฒนาตัวต้นแบบของเทคโนโลยี
“โรงงานแห่งที่ 2 จะมี 5 โซน ได้แก่ ดาวเทียม ระบบพลังงาน หุ่นยนต์ พื้นที่สำหรับเวิร์กช็อป และสำนักงาน โดยคาดว่าจะเปิดให้กลุ่มนักลงทุนและพาร์ตเนอร์เข้ามาชมในเดือน ส.ค.ปีนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจ ก่อนจะเปิดให้ผู้ที่สนใจเข้าชมได้ในไตรมาส 4”
ถือเป็นโรงงานที่ใหญ่ที่สุดที่ใช้ผลิตชิ้นส่วน และอุปกรณ์ด้านการบินและอวกาศแห่งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บนพื้นที่ 2,200 ตร.ม. โดย Factory 1 เป็นอีกก้าวของมิว สเปซฯในการทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีการบิน
และอวกาศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งเรื่องการผลิตชิ้นส่วนดาวเทียม ยานอวกาศ สำหรับใช้เพื่อการส่งออกภารกิจด้านการสื่อสาร ความมั่นคง ระบบระบุตำแหน่งบนพื้นโลก (GPS) ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติสำหรับยานพาหนะไร้คนขับบนดวงจันทร์
เตรียมทดสอบดาวเทียมสิงหาคมนี้
นายวรายุทธกล่าวต่อว่า ปัจจุบันมิว สเปซฯมีบุคลากรรวม 100 คน และกำลังเร่งพัฒนาศักยภาพโครงการ “มิว สเปซ ดาต้า เซ็นเตอร์” เพื่อนำผลิตภัณฑ์ขึ้นสู่อวกาศโดยเร็วขึ้นที่สุด
โดยจะพัฒนาระบบกำเนิดพลังงาน ซึ่งเป็นหัวใจของทุกสิ่ง ซึ่งขณะนี้ได้พัฒนาระบบดาวเทียม ชิ้นส่วน ทั้งระบบย่อยของทั้งดาวเทียม ระบบโครงสร้าง ควบคุมทิศทาง และพลังงาน ที่เริ่มทดสอบจริงแล้ว
และคาดว่าจะนำดาวเทียมนี้ไปทดสอบในสภาพแวดล้อมจริงในอวกาศ และเริ่มส่งข้อมูลจริงได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้ หลังจากนั้นก็จะพัฒนา ปรับปรุงระบบต่อ
และย้ำว่า ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ คาดว่าจะเห็นดาวเทียมของมิว สเปซฯในเดือนพฤศจิกายนนี้ และจะเข้าไปประกอบการฐานยิงจรวดขึ้นไปเดือนธันวาคมนี้
ก้าวสู่ยูนิคอร์นตัวต่อไป
ซีอีโอมิว สเปซฯ กล่าวถึงแผนการระดมทุนของบริษัทด้วยว่า ในปลายปีที่ผ่านมา ได้ระดมทุนในรอบซีรีส์ B ไปแล้ว โดยจะนำมาพัฒนาเทคโนโลยีดาวเทียมและสร้างโรงงานแห่งที่ 2 และในไตรมาส 3 ปีนี้ เตรียมเปิดระดมทุนรอบซีรีส์ C ต่อ
แต่ยังไม่สามารถให้รายละเอียดใด ๆ ได้ เนื่องจากอยู่ระหว่างพูดคุยกับนักลงทุน ทั้งในไทยและต่างประเทศ
“เม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนรอบใหม่จะนำมาขยายโรงงานแห่งที่ 2 ต่อ พร้อมขยายทีมงานเพิ่มเป็น 300 คน ภายในปีนี้ และเตรียมขยายบริการต่อไปยังในยุโรป อเมริกา และออสเตรเลีย”
ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าหลัก คือ กลุ่มองค์กร ทั้งเอกชน และรัฐบาล เช่น ผู้ให้บริการโทรคมนาคมและอินเทอร์เน็ต หน่วยงานรัฐเกี่ยวกับอวกาศและหน่วยงานความมั่นคง บริษัทการบินและอวกาศ รายอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“มิว สเปซฯ เป็นสตาร์ตอัพในไทยรายเดียวที่ดำเนินธุรกิจผลิตชิ้นส่วนดาวเทียมที่เกี่ยวกับอวกาศ แต่ถ้าในอเมริกามีหลายราย ซึ่งก็เป็นกลุ่มเพื่อน ๆ กัน
และเติบโตขึ้นไปในระดับยูนิคอร์นแล้วก็หลายราย ถ้ามิว สเปซฯระดมทุนในรอบซีรีส์ C ได้ ในแง่มูลค่าบริษัทก็คงหนีกันไกล และจะกลายเป็นยูนิคอร์นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในด้านอวกาศด้วยเช่นกัน”