ทุนอินเดียหน้าใหม่-เก่าแห่ลงทุน “พัทยา” หลังไทยเปิดประเทศ ทุ่มเงินเทกโอเวอร์ซื้อกิจการสถานบันเทิง-โรงแรม และร้านอาหาร มาทุกรูปแบบ มูลค่าลงทุนระดับ 10-100 ล้านบาท ทั้งในโซนวอล์กกิ้งสตรีต-ถนนพัทยาสาย 3 รอยต่อพัทยาเหนือและนาเกลือ หวังรองรับนักท่องเที่ยวอินเดียที่หลั่งไหลมาเที่ยวไทยเดือนละ 1.2-1.5 แสนคน ขณะที่ “ทุนจีน” ซุ่มกว้านซื้อที่ดินแปลงใหญ่กว่า 20 ไร่ มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท บริเวณพัทยาใต้หลังบิ๊กซีเตรียมขึ้นเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ครบวงจร
ทุนอินเดียยึดสถานบันเทิงพัทยา
นายดำรงเกียรติ พินิจการ ผู้บริหาร Hollywood Pattaya และเลขานุการสมาคมอุตสาหกรรมบันเทิงและการท่องเที่ยวเมืองพัทยา จ.ชลบุรี เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย และมีการเปิดประเทศ เริ่มเห็นสัญญาณนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในเมืองพัทยาจำนวนมาก โดยเฉพาะทุนอินเดีย ซึ่งส่วนใหญ่จะลงทุนสถานบันเทิงและร้านอาหาร ทั้งในโซนวอล์กกิ้งสตรีต และเส้นพัทยาสาย 3
นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มทุนจีนใหม่เข้ามา โดยอาศัยช่วงสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาดหนัก มีผู้ประกอบการจำนวนมากต้องปิดกิจการ ทำให้ทุนต่างชาติเข้ามาซื้อกิจการได้ในราคาถูก จากตัวเลขข้อมูลปี 2565 ทางอำเภอบางละมุงได้เก็บรวบรวมข้อมูลสถานบันเทิงที่ยื่นขอต่อใบอนุญาต และยื่นขอใหม่รวมทั้งหมด 732 แห่ง แต่ไม่สามารถแยกได้ชัดเจนว่าเป็นทุนของต่างชาติทั้งหมดกี่ราย เพราะมีทั้งลักษณะการร่วมหุ้นกับคนไทย หรือมีภรรยาเป็นคนไทย
“การลงทุนในประเทศจีนทำได้ค่อนข้างจำกัด เพราะรัฐบาลจีนออกกฎเข้มงวดในหลาย ๆ อย่าง ทำให้นักธุรกิจจีนที่มีเงินอยากมาลงทุนที่เมืองไทยแทน ส่วนทุนอินเดียเริ่มทยอยเข้ามาลงทุนก่อนโควิด-19 ระบาดนิดหน่อย และชะลอไป แต่เมื่อโควิด-19 คลี่คลายทุนอินเดียก็กลับเข้ามาเป็นกลุ่มแรก ๆ เพราะมองเห็นช่องทางธุรกิจ ประกอบกับนักท่องเที่ยวอินเดียถือเป็นกลุ่มใหญ่กลุ่มแรก ๆ ที่เข้ามาท่องเที่ยวในพัทยาจำนวนมาก ตั้งแต่ช่วงเปิดประเทศปีที่ผ่านมา” นายดำรงเกียรติกล่าว
สอดคล้องกับ นายจักรรัตน์ เรืองรัตนากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท รัตนากร แอสเซท จำกัด ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และโรงแรมกว่า 10 แห่งในพัทยา ภูเก็ต สมุย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้มีทุนอินเดียเข้ามาลงทุนสถานบันเทิง ผับ บาร์ และร้านอาหารในเมืองพัทยาจำนวนมาก
โดยทุนอินเดียกลุ่มใหม่เริ่มเข้ามาตั้งแต่รัฐบาลมีนโยบายเปิดให้คนต่างชาติเข้าประเทศไทยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565 แต่มูลค่าการลงทุนของกลุ่มทุนอินเดียประเมินค่อนข้างยาก เพราะการลงทุนกระจายไปทั่ว และไม่รู้ว่าที่มาลงทุนเป็นลักษณะการซื้อกิจการ การเช่าลงทุน หรือนอมินี
ลงทุนระดับ 10-100 ล้านบาท
แหล่งข่าวจากธุรกิจท่องเที่ยว จ.ชลบุรี เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ให้ข้อมูลในทิศทางเดียวกันว่า มีทุนอินเดียหน้าใหม่สนใจเข้ามาลงทุนในเมืองพัทยาจำนวนมาก และกำลังทยอยเข้ามาลงทุนอีกมาก หลังจากที่บางส่วนได้เข้ามาลงทุนตั้งแต่ปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 เล็กน้อย โดยทุนอินเดียสนใจลงทุนในธุรกิจกลุ่มสถานบันเทิง 60% รองลงมาเป็นการลงทุนธุรกิจโรงแรม 30%
โดยการเข้ามาลงทุนจะใช้วิธีการเทกโอเวอร์โรงแรมระดับ 3 ดาว ขนาดตั้งแต่ 100-200 ห้องขึ้นไป เพื่อรองรับลูกค้าคนอินเดียที่เข้ามาท่องเที่ยวในพัทยาโดยเฉพาะ เช่น บริเวณพัทยาสาย 3, รอยต่อระหว่างพัทยาเหนือและนาเกลือ ฯลฯ ที่เหลือเป็นการลงทุนธุรกิจร้านอาหาร ร้านนวด ทั้งนี้ สำหรับเม็ดเงินทุนคนอินเดียจะกระจายลงทุนตั้งแต่หลัก 10-100 ล้านบาทขึ้นไป
“คนอินเดียที่ร่ำรวยมีเยอะ และกำลังจะเข้ามาลงทุนอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะวอล์กกิ้งสตรีต มีทุนอินเดียเข้ามาเปิดผับ บาร์ หลายแห่ง เพื่อรองรับคนอินเดียที่มาท่องเที่ยวจำนวนมาก เม็ดเงินลงทุนแต่ละแห่งหลายสิบล้านบาท คนอินเดียชอบมาลงทุนในประเทศไทย เพราะมีอิสระเสรี และไม่แออัดเหมือนอินเดีย
ส่วนใหญ่เข้ามาซื้อกิจการ จะไม่ลงทุนก่อสร้างเองตั้งแต่เริ่มต้น จะนิยมเทกโอเวอร์กิจการที่มีใบอนุญาตทุกอย่างเรียบร้อย ปรับปรุงสถานที่เล็กน้อยพร้อมเปิดให้บริการได้ เพราะรู้ว่าเมืองไทยมีเรื่องการขอใบอนุญาตต่าง ๆ หลายขั้นตอนยุ่งยากมาก และเป็นการเข้ามาในลักษณะนอมินีเยอะ แต่ในวงการจะรู้กันว่าเบื้องหลังคือทุนอินเดีย ทุนจีน”
ทุนจีนขึ้นคอมเพล็กซ์บันเทิง
นอกจากนี้ ยังมีทุนจีนทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ทยอยเข้ามาลงทุนในพัทยาเช่นกัน โดยล่าสุดมีรายงานว่า มีนายทุนจีนรายใหญ่หน้าใหม่เข้ามาซื้อที่ดินบริเวณพัทยาใต้ หลังห้างบิ๊กซี ประมาณ 20 กว่าไร่ มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท เพื่อสร้างคอมเพล็กซ์สถานบันเทิงขนาดใหญ่ครบวงจร รวมถึงทุนรัสเซีย ซึ่งส่วนมากจะนิยมซื้ออสังหาริมทรัพย์ เช่น คอนโดมิเนียมไว้เก็งกำไร โดยจะเลือกซื้อโซนด้านนอกเมืองพัทยาครั้งละ 1-10 ห้อง แบบเงินผ่อน
สำหรับคลับหรู สไตล์อินเดียขนาดใหญ่ในวอล์กกิ้งสตรีต 6-7 แห่ง เป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นของกลุ่มทุนอินเดีย ที่เข้ามาร่วมหุ้นกับนักธุรกิจท้องถิ่นของไทย เช่น jannaat Club pattaya (จานาท คลับ) เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 65, Raas Club, Karma Club และ Nashuaa club เป็นต้น
นักท่องเที่ยวอินเดียมาแรง
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 39.9 ล้านคน เป็นนักท่องเที่ยวอินเดีย 1.91 ล้านคน สูงอันดับ 4 รองจากจีน มาเลเซีย และรัสเซีย สร้างรายได้รวมประมาณ 8 หมื่นล้านบาท
สำหรับปี 2565 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 11.8 ล้านคน อันดับหนึ่งคือมาเลเซีย จำนวน 1.95 ล้านคน และนักท่องเที่ยวอินเดียอยู่อันดับสอง จำนวน 9.65 แสนคน สร้างรายได้กว่า 4 หมื่นล้านบาท โดยข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนักท่องเที่ยวอินเดียที่เดินทางเข้าไทยอยู่ที่เฉลี่ย 1.2-1.5 แสนคนต่อเดือน
ขณะที่เดือนมกราคม 2566 ประเทศไทยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 2.08 ล้านคน โดยที่เดินทางเข้ามาสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.มาเลเซีย 257,684 คน 2.รัสเซีย 202,642 คน 3.เกาหลีใต้ 168,605 คน 4.อินเดีย 101,343 คน และ 5.จีน 91,080 คน
ในส่วนของจังหวัดชลบุรี เดือนตุลาคม 2565 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติรวม 223,186 คน และนักท่องเที่ยวคนไทย 1,087,644 คน สร้างรายได้กว่า 9,108 ล้านบาท เดือนพฤศจิกายน 2565 ชลบุรีมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาพื้นที่รวม 377,512 คน นักท่องเที่ยวคนไทย 1,348,886 คน สร้างรายได้กว่า 13,061 ล้านบาท และเดือนธันวาคม 2565 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาพื้นที่ชลบุรี รวม 504,518 คน และนักท่องเที่ยวคนไทย 1,654,689 คน สร้างรายได้กว่า 16,552 ล้านบาท