แบงก์ชาติชี้ เศรษฐกิจเหนือโตช้า หนี้ครัวเรือน-NPL พุ่ง

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ

ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ จัดสัมมนาวิชาการ ประจำปี 2566 เรื่อง “ยกระดับเศรษฐกิจเหนือ คว้าโอกาสบนโลกแห่งความท้าทาย” เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยมีภาคธุรกิจ การเงิน การศึกษา ภาคราชการ และประชาชนทั่วไป เข้าร่วมประมาณ 200 คน

ในโอกาสนี้ ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้กล่าวบรรยายพิเศษ ในหัวข้อ “ก้าวต่อไปของเศรษฐกิจการเงินไทย” โดยฉายภาพเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง จากที่ได้ประเมินไว้เมื่อเดือนมิถุนายน 2566 คาดว่าอัตราการขยายตัวในปี 2566 จะอยู่ที่ 3.6% และปี 2567 จะอยู่ที่ 3.8% ตามแรงส่งจากการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวดี และภาคท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง

ขณะที่การส่งออกได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ต่างประเทศที่ชะลอ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว และวัฏจักรอิเล็กทรอนิกส์โลกฟื้นตัวช้า รวมทั้งรายรับภาคการท่องเที่ยวปรับลดลงจากค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวที่ลดลง แม้จำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามามากกว่าที่คาดไว้ แต่โดยรวมไม่ได้กระทบแรงส่งของเศรษฐกิจในระยะต่อไปจะอยู่ในทิศทางฟื้นตัวต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม แม้การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนอาจส่งผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่มาไทย แต่การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวสัญชาติอื่นช่วยชดเชยในส่วนนี้ได้ ส่วนการส่งออกหดตัวในระยะสั้น คาดว่าจะทยอยปรับตัวดีขึ้นตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

เศรษฐกิจเหนือโตช้า 10 ปีโตแค่ 1%

ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวว่า ขณะนี้เศรษฐกิจภาคเหนือทยอยฟื้นตัว แต่ช้ากว่าทุกภาคของประเทศ โดยพบว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การเติบโตทางเศรษฐกิจของภาคเหนือชะลอลงค่อนข้างมาก มีอัตราการเติบโตเพียง 1% กว่าเท่านั้น เทียบกับช่วง 20 ปีก่อนหน้า อยู่ที่ระดับ 4%

ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตัวเลขการเติบโตเศรษฐกิจของภาคเหนือในช่วงระยะ 10 ปีที่ผ่านมาเติบโตเพียง 1% กว่า ๆ เนื่องจากถูกขับเคลื่อนด้วยภาคเกษตรค่อนข้างมาก และมีสัดส่วนแรงงานในภาคเกษตรสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคเหนือมีประชากรสูงวัยมากที่สุด กล่าวคือมีแรงงานสูงอายุค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับทุกภาคของประเทศ จึงทำให้ภาคแรงงานมีการเติบโตช้า

ADVERTISMENT

ขณะที่ภาคการผลิตของภาคเหนือยังมีบทบาทน้อยเมื่อเทียบกับประเทศ ดังนั้น การจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาคเหนือให้โตมากกว่า 1% ต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้าง โดยต้องเพิ่มประสิทธิภาพแรงงาน เพิ่มมูลค่าภาคการเกษตร หรือทำเกษตรมูลค่าสูง รวมถึงการเพิ่มมูลค่าทางการท่องเที่ยวให้สูงขึ้น

หนี้ครัวเรือนเหนือพุ่ง 43%

ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวว่า สำหรับนโยบายการเงิน ล่าสุดที่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประเมินว่า เป็นจุดที่ถือว่าเข้าใกล้จุดสมดุล (neutral) มากขึ้นแล้ว เพราะภาพรวมเศรษฐกิจไทยขณะนี้กำลังฟื้นเข้าสู่ระดับศักยภาพ

ขณะที่ปัญหาหนี้ครัวเรือน กนง. เป็นห่วงมาโดยตลอด จึงดำเนินนโยบายแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยมุ่งเน้นดูแลเศรษฐกิจโดยรวมให้อยู่ในแนวโน้มที่สอดคล้องกับเป้าหมายเงินเฟ้อ และเป้าหมายเศรษฐกิจในระยะปานกลาง ขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นจะกระทบต่อหนี้ครัวเรือน แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

ทั้งนี้ โครงสร้างหนี้ของภาคเหนือค่อนข้างน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือน พบว่าสัดส่วนราว 43% เป็นสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยแบบ fixed rate เช่น สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต สินเชื่อเช่าซื้อ ซึ่งที่ผ่านมา ธปท.ไม่ได้ชะล่าใจ และให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดได้ออกมาตรการเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ให้ตรงจุดและยั่งยืนขึ้น โดยการยกระดับมาตรฐานธุรกิจการให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ตั้งแต่ก่อนเป็นหนี้ กำลังจะเป็นหนี้ ระหว่างเป็นหนี้ เมื่อหนี้มีปัญหา และเมื่อมีการขาย/ฟ้องหนี้

โดยมาตรการที่จะบังคับใช้ก่อน (1 ม.ค. 67) คือ หลักเกณฑ์การให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (responsible lending) เพื่อปรับพฤติกรรมเจ้าหนี้และลูกหนี้ ผ่านการยกระดับมาตรฐานกระบวนการให้สินเชื่อตลอดวงจรหนี้

นอกจากนี้ จะมีการกำหนดแนวทางให้เจ้าหนี้ช่วยเหลือ “ลูกหนี้เรื้อรัง” (persistent debt) (บังคับใช้ 1 เม.ย. 67) ซึ่งคือกลุ่มที่ยังจ่ายหนี้ได้ตามปกติ แต่ปิดจบหนี้ไม่ได้ เพื่อให้ลูกหนี้กลุ่มนี้สามารถปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น และมีเงินเหลือพอดำรงชีพ

แบงก์ชาติภาคเหนือ

อีกประเด็นสำคัญของภาคเหนือพบว่า สินเชื่อที่เป็น Non-Performing Loan (NPL) หรือหนี้เสีย มีสัดส่วนสูงกว่าภาคอื่น ๆ ของประเทศ

โดยเฉพาะ 2 กลุ่มหลักที่ NPL สูง ได้แก่ 1.กลุ่มภาคการเกษตร อาทิ ธุรกิจโรงสีข้าว ค้าส่งวัสดุทางการเกษตร และธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร 2.กลุ่ม Micro SMEs อาทิ ธุรกิจโรงแรม ซึ่ง NPL เพิ่มสูงขึ้นในช่วงโควิด

ดร.เศรษฐพุฒิกล่าวต่อว่า เศรษฐกิจของภาคเหนืออิงใน 2 เรื่องหลัก คือ ภาคการเกษตรและภาคการท่องเที่ยว ครึ่งหลังของปี 2566 ต่อเนื่องไปปี 2567 ในส่วนของท่องเที่ยวคาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ที่น่าห่วงคือ ภาคการเกษตร จะมีความท้าทายจากผลกระทบของภาวะภัยแล้งจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งกลุ่มเปราะบางจะอยู่ในภาคการเกษตร จะทำให้ปัญหาหนี้ครัวเรือนเพิ่ม เป็นความท้าทายมากขึ้นในระยะข้างหน้าของภาคเหนือ

ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจของภาคเหนือในระยะยาว คนในพื้นที่ควรเป็นผู้มีบทบาทหลักในการกำหนดทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจ ว่าจะให้เป็นไปในทิศทางไหน เพราะเข้าใจศักยภาพและบริบทของภูมิภาคดีที่สุด ในขณะที่ภาครัฐและ ธปท.ควรมีบทบาทเป็นผู้สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศที่ส่งเสริมศักยภาพ เช่น การพัฒนาระบบการชำระเงินที่เอื้อต่อการเติบโตของระบบเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ การจะทำให้เศรษฐกิจของภาคเหนือโตมากกว่า 1% ได้อย่างไรนั้น เป็นโจทย์ที่ไม่ง่าย ภาคเหนือจึงค่อนข้างหนักเป็นพิเศษ

เอลนีโญกระทบ 2 ล้าน ครัวเรือน

นางพรวิภา ตั้งเจริญมั่นคง ผู้อำนวยการอาวุโส ธปท. สำนักงานภาคเหนือ กล่าวว่า ผลประมาณการเศรษฐกิจภาคเหนือปี 2566 คาดว่าขยายตัวร้อยละ 2.0-3.0 และปี 2567 จะชะลอลงอยู่ในช่วงร้อยละ 0.7-1.7

โดยมีแรงขับเคลื่อนจากการฟื้นตัวในภาคการท่องเที่ยว อุตสาหกรรม การค้า ก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ภาคการเกษตรคาดว่าขยายตัวในปี 2566 แต่จะหดตัวในปี 2567 จากภาวะฝนแล้ง ด้านรายได้ของครัวเรือนในภาคเหนือ ปี 2566-2567 ปรับดีขึ้นต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 1.9 ต่อปี แต่รายได้สุทธิครัวเรือนแต่ละกลุ่มดีขึ้นแตกต่างกัน ครัวเรือนเกษตรกว่า 2 ล้านครัวเรือน

ซึ่งมากกว่าครึ่งของครัวเรือนภาคเหนือ มีแนวโน้มรายได้สุทธิลดลงในปี 2567 จากผลกระทบของภาวะเอลนีโญ ทำให้กำลังซื้อยังไม่ดีขึ้นอย่างทั่วถึง แม้ภาพรวมเศรษฐกิจภาคเหนือจะมีทิศทางปรับดีขึ้น แต่ ธปท.สภน. จะให้ความสำคัญยิ่งขึ้นกับการมีส่วนร่วมกับพันธมิตรในการพัฒนาเศรษฐกิจการเงินภาคเหนือในระยะยาว

ทั้งการสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน การสนับสนุนการแก้หนี้อย่างยั่งยืน และการร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ ในการพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่

ค้าปลีก/SMEs เผชิญโจทย์ท้าทาย

เวทีสัมมนาในช่วงท้าย มีผู้แทนคนรุ่นใหม่ 3 คน ได้แก่ คุณธนะพงศ์ พุฒิพิริยะ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) คุณวีรดา ศิริพงษ์ ผู้ก่อตั้ง คาร์เพนเทอร์ สตูดิโอ และ คุณพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จํากัด (มหาชน) ได้ร่วมเสวนา ในหัวข้อ “สร้างความยั่งยืนแบบคนรุ่นใหม่ สู่การยกระดับเศรษฐกิจในพื้นที่”

โดยมี ดร.กฤษฎ์เลิศ สัมพันธารักษ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ สถาบันวิจัยป๋วย อึ๊งภากรณ์ เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยภาพรวมได้สะท้อนมุมมองให้เห็นโอกาสในการทำธุรกิจในภูมิภาค ควบคู่กับการสร้างความกินดีอยู่ดี (well-being) ให้กับภูมิภาคเพื่อนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม พบว่า ภาคเหนือเผชิญความท้าทายตามกระแสการเปลี่ยนแปลงโลกาภิวัตน์ (globalization) สิ่งที่ท้าทายคือ การแข่งขันทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น สำหรับธุรกิจค้าปลีกเผชิญความท้าทายที่จะกระทบจากธุรกิจ e-Commerce ผู้ประกอบการจึงต้องสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า และจับมือกับคู่แข่ง เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้ามากขึ้น

โดยสิ่งที่จะทำให้ผู้ประกอบการก้าวข้ามข้อจำกัดของ SMEs คือ การปรับมุมมองทางธุรกิจ (mindset) พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง กล้าที่จะทดลอง การสร้างทีมงานที่มีคุณภาพ รวมถึงการสร้างระบบจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลที่ดี พร้อมตั้งรับการเปลี่ยนแปลง

นอกจากนี้ การเติบโตทางธุรกิจต้องทำให้ท้องถิ่นเติบโตไปพร้อมกันผ่านการสร้างงาน สร้างรายได้และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม รวมถึงสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่กลับมาสร้างความเจริญที่บ้านเกิด