
ล้งจีนรับซื้อทุเรียนที่เคยล้นภาคตะวันออก คาดฤดูผลผลิตต้นปี 2568 ตกต่ำ ขาดทุน มีการแข่งขันสูง หายหน้า 40% ประกาศขาย ให้เช่า เหล่าล้งกว่า 1,200 แห่ง ถอยทัพบุกค้าทุเรียนเวียดนาม ได้เปรียบทั้งราคา ค่าขนส่ง ทำกำไรได้ง่าย-เร็วกว่า ผวาคู่แข่งใหม่ “หมอนทองจากลาว” ส่งชิงตลาดจีน
ฤดูการผลผลิตทุเรียนภาคตะวันออกปี 2568 ไม่คึกคัก ล้งจีน หรือผู้ประกอบการรับซื้อทุเรียนในภาคตะวันออก ที่เคยหนาแน่น แย่งเช่า-ซื้อที่ดิน เพื่อรับซื้อทุเรียนส่งออกไปจีน ปรากฏว่ามีการปิดกิจการ ปล่อยให้เช่า เป็นจำนวนมาก ขณะที่สถานการณ์การแข่งขันปีหน้าดุเดือด ทุเรียนคุณภาพไทยออกน้อย คู่แข่งเวียดนาม-ลาว มาแรง
จากหาแหล่งล้ง เป็นขาย-ให้เช่า
นายณัฐกฤษณ์ โอฬารหิรัญรักษ์ รองนายกสมาคมการค้าธุรกิจไทย-จีน เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ใกล้ฤดูกาลผลผลิตทุเรียนภาคตะวันออกที่จะออกเดือนมีนาคม-เมษายน 2568 แต่คาดว่าช่วงต้นปี 2568 บรรยากาศของ “ล้ง” หรือผู้ประกอบการรับซื้อทุเรียนในภาคตะวันออกค่อนข้างเงียบเหงา ล้งมีการติดป้าย “ให้เช่าล้ง” หาคนเช่าล้ง “ขายล้ง” เป็นจำนวนมาก
แตกต่างจากปี 2567 ที่ล้งแห่กันมา “หาล้งเช่า” เปิดล้งรับซื้อกันอย่างคึกคักจำนวนมาก ทำให้ปริมาณล้งน่าจะเพิ่มขึ้นทั้งที่จดทะเบียนและไม่จดทะเบียน ประมาณ 1,200 ล้ง คาดว่าในปี 2568 น่าจะลดลงประมาณ 30-40% ด้วยเหตุที่ล้งประสบภาวะขาดทุนจากการส่งออกทุเรียนในภาคตะวันออกที่ต้องแข่งขันกันสูง แต่ปริมาณผลผลิตมีน้อยกว่าที่คาดการณ์
ขณะที่มีล้งเปิดรับซื้อกันจำนวนมาก และประสบภาวะการขาดทุนจากการทำทุเรียนภาคใต้ ที่มีปัญหาเรื่องคุณภาพและต้องแข่งขันกับทุเรียนเวียดนามที่ออกตรงกัน คาดปีนี้ล้งเถ้าแก่ใหม่จะย้ายไปรับซื้อทุเรียนที่เวียดนามที่มีช่องทางทำกำไรได้มากกว่า
เถ้าแก่ใหม่ไปลงทุนเวียดนาม
นายณัฐกฤษณ์กล่าวว่า ปีที่แล้วทุเรียนผลผลิตน้อยแต่คนรับซื้อมีมากต่างประสบภาวะขาดทุนจากการแข่งขันราคาสูงเกินจริง ปีนี้เถ้าแก่มาซื้อน้อยลง เมื่อพิจารณาจากยอดการตัดสินใจเช่าล้ง และไม่ตัดสินใจซื้อทุเรียนง่าย ๆ ประกอบกับปีนี้ผลผลิตออกล่าช้าและกระจายตัว ผลผลิตที่ออกดอกลดลงเฉลี่ย 30-40% ต้องรอดูช่วงตรุษจีน คือ ปลายมกราคม 2568 จะมีความชัดเจนว่ามีล้งมาเช่า เปิดรับซื้อจริง ๆ มากน้อยแค่ไหน
“มีทั้งประกาศให้เช่าล้ง ขายล้ง ผ่านเพจต่าง ๆ รวมทั้งการปรับราคาลง จากสภาพเศรษฐกิจไม่ดีทั้งไทยและต่างประเทศ ปีนี้ไม่มีล้งคนไทยที่สร้างใหม่ ยกเว้นล้งคนจีนลงทุนทำเอง การหันเหไปลงทุนล้งในเวียดนาม ส่วนหนึ่งมีผลจากการขาดทุนการค้าทุเรียนในภาคใต้ จึงหวังไปทำกำไรในเวียดนาม เพราะทั้งราคา และค่าขนส่งต่ำกว่าไทย” นายณัฐกฤษณ์กล่าว
จับตาคู่แข่งทุเรียนลาว
รองนายกสมาคมการค้าธุรกิจไทย-จีน ยังคาดการณ์ด้วยว่า ในปี 2568 การค้าทุเรียนจะมีการแข่งขันมากขึ้น แม้ว่าทุเรียนในกัมพูชา จะมีอัตราการส่งออกยังไม่ชัดเจนนัก แต่ทุเรียนในลาวน่ากลัว เพราะส่งเข้าจีนได้เลยและเป็นพันธุ์หมอนทอง แม้ว่าผลผลิตยังไม่มาก คาดว่าในปี 2570 จะมีผลผลิตออกจำนวนมาก ราคาและตลาดน่ากังวล
ล้งตะวันออกกัดฟันยอมขาดทุน
ด้านแหล่งข่าวจากล้งรับซื้อทุเรียนให้บริษัทส่งออกรายใหญ่แห่งหนึ่ง ใน จ.ชุมพร และเปิดรับซื้อทุเรียนให้เถ้าแก่ส่งออกที่ จ.จันทบุรี เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ปีนี้ทุเรียนภาคตะวันออกออกล่าช้ากว่าปีก่อนประมาณเกือบเดือน ในขณะที่ทุเรียนภาคใต้ยังมีอยู่ น่าจะยาวไปถึง ก.พ.-มี.ค. 2568 แต่ปีนี้เถ้าแก่ล้งไม่น่าจะมากเหมือนเดิม
“คนที่ขาดทุนจะไปทำที่เวียดนาม เพราะการค้าทุเรียนภาคใต้ปีนี้มีปัจจัยหลายอย่างทำให้ล้งขาดทุนกันมาก ล้งแข่งขันเหมาสวน ซื้อจากสวนทุกลูก ABC ราคาแพงกว่าตลาด เมื่อถึงเวลาตัดทุเรียนไม่ได้มีจำนวนมากตามคาดการณ์
เมื่อส่งออกต้องคัดเบอร์ A B ซึ่งราคาเบอร์ C ห่างกันถึง 90 บาท ล้งทำแล้วไม่มีกำไร ขาดทุนตาม ๆ กัน ที่ล้งต้องยอมขาดทุนไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท เพื่อต้องเลี้ยงลูกน้องไว้หมุนเวียนไปทำที่ภาคตะวันออก และยังต้องแข่งขันกับทุเรียนเวียดนามที่ราคา-ค่าใช้จ่ายถูกกว่าและตัดแก่กว่า” แหล่งข่าวระบุ
เหมาสวนล่วงหน้าเสี่ยงขาดทุน
นายวุฒิชัย คุณเจตน์ นายสมาคมทุเรียนไทย กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ทุเรียนเวียดนาม-ไทย มีผลกระทบที่ออกตรงกันกับทางภาคใต้ มีการแข่งขันกันชัดเจน ตัวอย่างเวียดนามกับทุเรียนภาคใต้ ปี 2567 ทุเรียนภาคใต้ของไทยราคาแพงแข่งขันกันรุนแรง อัตราความเสี่ยงสูง ซื้อขายเหมากันล่วงหน้า 1-2 เดือน ขายเหมาทุกลูก ABC บางครั้งมีตกไซซ์ ราคาเดียวกัน และราคาตลาดมีโอกาสผันผวน คุณภาพทุเรียนภาคใต้เสียเปรียบจากสภาพอากาศ ทำให้มีการคัดตึงทำให้มีความขัดแย้งกัน
“ในเมื่อเป็นตลาดเดียวกัน ล้งหรือนักลงทุนจะต้องเปรียบเทียบว่าไปลงทุนที่ไหนที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า มีกำไรมากกว่า พ่อค้าที่ไปซื้อทุเรียนเวียดนามซื้อตามราคาตลาดก่อนการเก็บเกี่ยว 1 สัปดาห์ และซื้อราคาเฉลี่ยตามสัดส่วนของทุเรียนเกรด A เกรด B ที่ส่งออก ในขณะที่ปีนี้ในเวียดนามอากาศมีความชื้นสูงที่เหมาะสม รูปทรงสวยกว่า ตลาดชื่นชอบ”
ชิงตลาดจีน 6 แสนตัน
นายวุฒิชัยกล่าวต่อไปว่า ล้งจีนที่เคยเข้ามาค้าทุเรียนอย่างคึกคักในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ทำกำไรได้มาก จึงมีเถ้าแก่หน้าใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มขึ้น แต่ไม่เข้าใจเรื่องทุเรียน รวบรวมส่งไปขายทั้งที่ได้คุณภาพ ไม่ได้คุณภาพ ที่เรียกกันว่าเล่นกำไรเถ้าแก่ ทำให้ต้องประสบภาวะขาดทุนอย่างหนัก รายเก่าหายไปมีรายใหม่เข้ามา
เนื่องจากทุเรียนมีมูลค่าสูงที่ทำกำไรได้มาก ล้งที่เข้ามาซื้อหากมีจำนวนลดน้อยลง จะกระทบอำนาจต่อรอง การแข่งขันการซื้อลดลง และถ้าล้งเหลือน้อยลงจนกระทั่งรวมตัวกันได้ อำนาจการซื้อจะอยู่ในมือพ่อค้า อาจจะไม่ใช่ราคาจริง
“แต่ถ้าเกษตรกรทำคุณภาพให้ชัดเจน ทำมาตรฐานให้สูงขึ้น และพยายามลดต้นทุนเพื่อปรับราคาลงมาที่ไม่ใช่ราคาเกินจริง ทำให้เกิดการแข่งขันกันซื้อ มีพ่อค้ามาซื้อจำนวนมาก กำลังการผลิต การส่งออก และราคาจะไปได้ดี ดังนั้น เกษตรกรและพ่อค้าจะต้องไปด้วยกัน และไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจีน ที่เป็นตลาดหลักมีความชัดเจนสามารถรองรับผลผลิตได้ปีละ 500,000-600,000 ตัน ต้องรักษาไว้”
ข้อมูล จาก สวพ. 6 ข้อมูล (13 กันยายน 2567) โรงคัดบรรจุที่ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร (ทะเบียน DOA) ในภาคตะวันออก 919 แห่ง (จันทบุรี 833 แห่ง ระยอง 51 แห่ง ตราด 23 แห่ง สระแก้ว 4 แห่ง ฉะเชิงเทรา 3 แห่ง ชลบุรี 5 แห่ง) และข้อมูล สวพ. 7 โรงคัดบรรจุที่ขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตร (ทะเบียน DOA) ในภาคใต้ 506 แห่ง เปิดทำการ ชุมพร 269 แห่ง สุราษฎร์ธานี 1 แห่ง นครศรีธรรมราช 2 แห่ง