‘เบบี้กิ๊ฟ’ มุ่งวันสต็อปช็อปชิงเจ้าตลาดแม่และเด็ก

เบบี้ กิ๊ฟ

“เบบี้ กิ๊ฟ” มั่นใจตลาดสินค้าแม่และเด็กฟื้นพร้อมโตต่อเนื่อง หลังพ่อแม่รุ่นใหม่ลงทุนกับความปลอดภัย-ความสะดวกในการดูแลลูก หนุนแก็ดเจตดูแลเด็กมาแรง ลุยขยายสาขาเพิ่มสินค้า-บริการรับดีมานด์ พร้อมส่งโอว์นแบรนด์ลุยต่างประเทศ ก่อนเล็งขยายฐานรุกสูงวัย ปั้นรายได้ 300 ล้านบาทใน 5 ปี

นางสาวอรุณศรี พิริยเลิศศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบบี้ กิ๊ฟ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าแม่และเด็กทั้งอินเตอร์แบรนด์และโอว์นแบรนด์ กล่าวว่า ตลาดสินค้าแม่และเด็กส่งสัญญาณฟื้นตัว หลังผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 การเดินทางท่องเที่ยว และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องไปในระยะยาว โดยเฉพาะในกลุ่มแก็ดเจตหรืออุปกรณ์เสริมด้านความปลอดภัย-อำนวยความสะดวกในการเลี้ยงลูกที่กำลังมาแรงในหมู่พ่อแม่รุ่นใหม่

เนื่องจากปัจจุบันบรรดาพ่อแม่มีแนวโน้มเปิดรับและเห็นความสำคัญของเทคโนโลยี รวมถึงลงทุนกับความปลอดภัยและความสะดวกในการเลี้ยงดูลูกมากกว่าคนรุ่นก่อน ทำให้แบรนด์ต่าง ๆ ส่งสินค้าใหม่พร้อมกับจุดขายด้านนวัตกรรมออกมารับดีมานด์

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ในสาขาใหม่ที่เปิดเมื่อเร็ว ๆ นี้ มีลูกค้าที่จับจ่ายบิลเดียวระดับแสนบาท พร้อมกับยอดใช้จ่ายเฉลี่ยที่สูงขึ้น รวมถึงการใช้งานคาร์ซีตที่แพร่หลายมาตั้งแต่ก่อนออกกฎหมายบังคับ เช่นเดียวกับความนิยมอุปกรณ์เสริมสำหรับการเลี้ยงดูลูก ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปั๊มนม, เครื่องฆ่าเชื้อด้วยแสงยูวี, กล้องวงจรปิดสำหรับดูแลเด็ก ไปจนถึงเปลไกวอัตโนมัติ ที่ต่างมียอดขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้บางชิ้นจะมีราคาระดับหลักหลายหมื่นบาทก็ตาม

ขณะเดียวกันยอดขายสินค้าที่เกี่ยวกับการเดินทาง เช่น รถเข็นเด็กรุ่นน้ำหนักเบากลับมาคึกคักพร้อม ๆ กัน

“ลูกค้าพร้อมที่จะใช้จ่ายเพื่อความปลอดภัยและคุณภาพในการเลี้ยงดูลูก ในขณะที่ยังมีความสะดวกสบายด้วย เช่น เตียงเด็กแบบพิเศษที่สามารถติดข้างเตียงปกติได้ ช่วยให้การดูแลเวลาลูกตื่นกลางดึกง่ายขึ้น หรือกล้องวงจรปิดที่มีระบบแจ้งเตือนเมื่อเด็กไม่ขยับตัวนานผิดปกติ เป็นต้น”

ด้วยแนวโน้มการฟื้นตัวและเทรนด์ใหม่นี้ หลังจากนี้บริษัทจะเดินหน้าขยายธุรกิจตามเป้าหมายก้าวขึ้นเป็นผู้ค้าปลีกด้านแม่และเด็กแบบครบวงจรและแตกต่างจากผู้เล่นรายอื่น เสริมจากปัจจุบันที่เป็นผู้นำในหมวดรถเข็นเด็กและคาร์ซีตอยู่แล้ว

ด้วยการขยายพอร์ตโฟลิโอเพิ่มบริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพแม่และเด็ก เช่น โยคะ อาศัยการจับมือพันธมิตรมาเปิดบริการ หลังก่อนหน้านี้จับมือกับ Papaboy Studio สตูดิโอถ่ายรูปครอบครัวมาเปิดบริการถ่ายรูปครอบครัวในสาขาปิ่นเกล้า-ราชพฤกษ์แล้ว รวมถึงเพิ่มสินค้าหมวดใหม่ ๆ อย่างของเล่น ซึ่งเป็นหนึ่งในสินค้าที่บริษัทยังไม่ได้ทำตลาดมากนัก

พร้อมกับทยอยปักธงสาขาโมเดลช็อปปิ้งสโตร์เพิ่มอีก 3 สาขา ภายใน 5 ปี แบ่งเป็น กทม. 2 สาขา และต่างจังหวัด 1 สาขา ทั้งนี้ เพื่อเน้นย้ำจุดแข็งด้านความหลากหลายของสินค้าที่มีทั้งนำเข้ากว่า 10 แบรนด์ และสินค้าโอว์นแบรนด์ “ปรินซ์ แอนด์ ปรินเซส” ที่มีจุดขายด้านราคาจับต้องง่ายและแก็ดเจต หลังสาขาปิ่นเกล้า-ราชพฤกษ์ ซึ่งเป็นสาขาที่ 8 และเป็นแฟลกชิปที่ออกแบบให้เป็นช็อปปิ้งสโตร์ มีสินค้าครบทั้งอินเตอร์แบรนด์และโอว์นแบรนด์ รวมถึงโซนทดลองสินค้าอย่างเครื่องปั๊มนมรถเข็นเด็ก ฯลฯ ได้รับความนิยมสามารถทำยอดขายต่อบิลสูงสุดได้ถึง 2 แสนบาท และยอดขายเฉลี่ยสูงกว่าสาขาอื่น 20-30%

“ที่ผ่านมาซื้อสินค้าแม่และเด็กต้องเดินสายซื้อจากหลายร้านถึงจะได้ของครบ เราจึงตอบโจทย์ด้วยโมเดลช็อปปิ้งสโตร์ที่มีครบทุกอย่าง แบบวันสต็อปช็อปปิ้งสำหรับครอบครัวที่มีลูกอายุ 0-12 ปี”

ด้านการทำตลาดจะเน้นการให้ความรู้ด้านการเลี้ยงลูก และการเลือกซื้อสินค้า อาทิ รถเข็น เครื่องปั๊มนม ฯลฯ ผ่านช่องยูทูบ Babygiftretail และโซเชียลมีเดีย อาศัยข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญของแบรนด์ต่าง ๆ และการบอกต่อกันของฐานลูกค้าที่สะสมมานาน 15 ปี

ซึ่งด้วยกระแสการฟื้นตัวของตลาด ดีมานด์สินค้า สาขาและสินค้า-บริการใหม่ จะช่วยให้ปี 2565 นี้ รายได้เติบโตประมาณ 30% เป็น 140 ล้านบาท

นอกจากนี้ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบบี้ กิ๊ฟ ยังเปิดเผยถึงแผนระยะยาวว่า จะส่งปรินซ์ แอนด์ ปรินเซส รุกตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยหาพาร์ตเนอร์ผู้ค้ารายใหญ่ในแต่ละประเทศ หลังมีตัวแทนจำหน่ายที่กัมพูชาและได้ผลตอบรับดี

รวมถึงศึกษาเข้าสู่ตลาดสินค้าดูแลผู้สูงอายุ เนื่องจากเชื่อว่าสามารถนำสินค้า-ความเชี่ยวชาญในการจำหน่ายสินค้าดูแลเด็กมาต่อยอดได้ เช่น กล้องดูแลเด็กสามารถปรับใช้ดูแลผู้สูงอายุได้เช่นกัน อีกทั้งตลาดสูงวัยนั้นเป็นอีกกลุ่มที่มีศักยภาพสูง ทั้งนี้ คาดว่าจะเริ่มเห็นได้ประมาณปี 2567 โดยเป็นไปตามแผนสร้างการเติบโต 10-20% ต่อปี และมีรายได้แตะ 300 ล้านบาทใน 5 ปี