เซ็นทรัล รีเทล รุกฆาต ย้ำแชมป์ค้าปลีก “ไทย-เวียดนาม”

ญนน์ โภคทรัพย์
ญนน์ โภคทรัพย์

ในช่วงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวนี้ ค้าปลีกเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ต้องปรับตัวเพื่อให้รับกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการกลับมาของนักท่องเที่ยวในรอบกว่า 3 ปี สภาพเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจากการใช้ชีวิตช่วงล็อกดาวน์

“ญนน์ โภคทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC เจ้าของเชนค้าปลีก อาทิ ห้างโรบินสัน ไทยวัสดุ เพาเวอร์บาย แฟมิลี่มาร์ท ฯลฯ รวมถึงยังนั่งตำแหน่งประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทยเป็นสมัยที่ 2 ได้เปิดเผยในงานการแถลงแผนการดำเนินงานประจำปี 2566 ถึงแนวโน้มวงการธุรกิจค้าปลีกของไทยและเวียดนาม ซึ่งเป็น 2 ตลาดหลักของบริษัท รวมถึงยุทธศาสตร์ของเซ็นทรัล รีเทล จากนี้ไป

ค้าปลีกไทย-เวียดนามโตแกร่ง

“ญนน์” ฉายภาพว่า วงการค้าปลีกของไทยและเวียดนามมีแนวโน้มดีกว่าตลาดโลก เป็นผลจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นจีดีพีของประเทศซึ่งอยู่ที่ 3.2-3.7% และ 6.2-7.0% ตามลำดับ สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 2.9% รวมถึงการฟื้นตัวของอุตฯท่องเที่ยวและการสนับสนุนจากภาครัฐของทั้ง 2 ประเทศ

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยพิเศษมาหนุน เช่น การเลือกตั้งในไทย และกระแสการลงทุนตั้งฐานการผลิตในเวียดนาม จึงคาดว่ามูลค่าค้าปลีกของไทยปี 2566 นี้จะเติบโตได้ประมาณ 6-8% หรือ 2 เท่าของจีดีพี โดยจังหวัดท่องเที่ยวจะเป็นกลุ่มแรกที่ฟื้นตัว

ส่วนในเวียดนาม แม้จะยังไม่มีข้อมูลตัวเลขการเติบโตของอุตฯค้าปลีก แต่สามารถสะท้อนการฟื้นตัวได้จากความคึกคักของการจับจ่ายในช่วงเทศกาลตรุษญวน เมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมซึ่งทำลายสถิติปีก่อนแล้ว รวมถึงมีโอกาสจากช่องว่างขนาดใหญ่ที่สามารถใช้เจาะเข้าไปปักฐานสร้างการเติบโต

นั่นคือ เซ็กเมนต์โมเดิร์นเทรดที่ยังเล็ก โดยมีสัดส่วนเพียง 5% ของเม็ดเงินในอุตฯค้าปลีก สวนทางกับการเติบโตรวดเร็วของเศรษฐกิจและจำนวนชนชั้นกลาง โดยเชื่อว่าโมเดิร์นเทรดของเวียดนามสามารถเติบโตจนมีสัดส่วน 10-20% ของตลาดได้แน่นอน

ทั้งนี้ยังมีปัจจัยที่ต้องจับตามองอยู่ด้วยเช่นกัน อาทิ สงครามในยุโรป และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปให้ความสำคัญกับปัจจัยอื่น ๆ นอกจากราคามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการขาย และบริการหลังการขาย รวมไปถึงการซื้อของสดผ่านออนไลน์ เป็นต้น

“นอกจากตัวเลขเศรษฐกิจแล้ว อีกหนึ่งตัวชี้วัดที่สะท้อนแนวโน้มการฟื้นตัวคือ ยอดขายของหลายธุรกิจในเครือเซ็นทรัล รีเทล ทั้งในไทย เวียดนาม และอิตาลี ซึ่งฟื้นกลับมาในระดับเท่ากับ-สูงกว่าช่วงปีก่อนโควิด-19 แล้ว”

ชิงเม็ดเงินไม่พอ ต้องชิงเวลาด้วย

ด้านทิศทางในปีนี้ แม่ทัพใหญ่ เซ็นทรัล รีเทล อธิบายว่า เพื่อชิงความได้เปรียบและรับมือความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ-ผู้บริโภค จากนี้จะไม่เน้นเพียงการขยายสาขาหรือการทำโปรโมชั่นราคา แต่จะเน้นด้านประสบการณ์การช็อปปิ้งของลูกค้าให้มากยิ่งขึ้น เพราะปัจจุบันค้าปลีกไม่ได้เพียงชิงเม็ดเงินของลูกค้ากับผู้เล่นอื่นเท่านั้น แต่ยังต้องชิงเวลากับกิจกรรมอื่น ๆ ของผู้บริโภคด้วย

ดังนั้นประสบการณ์ช็อปปิ้งที่สะดวก รวดเร็ว ตรงใจลูกค้า ไปจนถึงบริการระหว่างและหลังการขายจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสร้างความได้เปรียบและการเติบโต

ด้วยเหตุนี้จึงพัฒนาแผนระยะ 5 ปี (2566-2570) พร้อมเป้ายอดขายและมาร์เก็ตแคปเพิ่ม 2.5 เท่า ส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น 3.5 เท่า โดยเริ่มจากการทุ่มเม็ดเงินลงทุน 2.8 หมื่นล้านบาทในปีนี้ สำหรับขยาย-อัพเกรดธุรกิจทั้งในไทยและเวียดนาม ไม่ว่าจะเป็นการยกเครื่องระบบออมนิแชนเนล ขยายสาขาใหม่ รีโนเวตสาขาเดิม ฯลฯ

ในส่วนของระบบออมนิแชนเนลจะใช้งบฯ 2,000 ล้านบาท ยกเครื่องระบบเน้นเพิ่มประสิทธิภาพ ความเร็ว รวมถึงการเก็บและวิเคราะห์บิ๊กดาต้าผู้บริโภค ด้วยการนำเทคโนโลยีระดับท็อปอย่าง เอไอ มาใช้วิเคราะห์ข้อมูลหาความต้องการของลูกค้า เพื่อให้สามารถจูงใจแต่ละรายได้อย่างตรงจุด

ด้านการขยายสาขาและรีโนเวตในประเทศไทยนั้น เตรียมเปิดห้างสรรพสินค้าเพิ่ม 2 สาขา รีโนเวต 15 สาขา ด้านท็อปส์จะเปิดเพิ่ม 15 สาขา รีโนเวต 26 สาขา ส่วนไทยวัสดุจะเปิดเพิ่ม 10 สาขา รีโนเวต 16 สาขา และเปิดสาขาโรบินสันไลฟ์สไตล์เพิ่ม 1 สาขา รีโนเวต 1 สาขา

โดยบริษัทวางโพซิชั่นให้ ท็อปส์ จะเป็นแบรนด์หัวหอกสำหรับเจาะพื้นที่ต่าง ๆทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าให้ในระยะยาวต้องมีร้านท็อปส์ในทุกจังหวัด

สำหรับด้านความยั่งยืนจะเพิ่มการใช้พลังงานสะอาดให้ถึง 30% ด้วยการติดตั้งโซลาร์เซลล์ ลดขยะลง 10% ผ่านความร่วมมือกับท้องถิ่น เช่น นำขยะอาหารไปทำปุ๋ย รวมถึงเพิ่มสัดส่วนสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้ถึง 20%

“การพัฒนาด้านความยั่งยืนนั้นนอกจากผลด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เพิ่มความแข็งแกร่งทางการเงินให้บริษัทด้วย หลังปัจจุบันการติดตั้งโซลาร์เซลล์ช่วยลดค่าไฟลงได้ถึง 40%”

ยึดเวียดนาม สปีดการเติบโต

ซีอีโอเซ็นทรัล รีเทล ยังเผยถึงแผนยึดตลาดค้าปลีกเวียดนามว่า จะโฟกัสการขยายสาขาร้านค้า และไลน์อัพสินค้าอาหาร มีหัวหอกเป็น Mini Go ร้านค้าปลีกโมเดลใหม่ สำหรับเจาะผู้บริโภคระดับแมส ลักษณ์คล้ายไฮเปอร์มาร์เก็ตที่มีทั้งพื้นที่ขายสินค้า 1.2 หมื่นรายการ และพื้นที่เช่า แต่จะทำหน้าที่เป็นโกดังสินค้าด้วย เพื่อรองรับการต่อยอดธุรกิจ B2B ในอนาคต โดยปีนี้จะลุยเปิด Mini Go เดือนละ 1 สาขา

ส่วนโมเดลอื่น เช่น ห้าง GO! จะเปิดอีก 5-7 สาขาในปี 2567 ส่วนไฮเปอร์มาร์เก็ตจะรีโนเวต 10 สาขา และได้ทำเลสำหรับเปิดเพิ่มอีก 5-8 สาขาแล้ว โดยวางเป้าให้รายได้จากเวียดนามมีสัดส่วนประมาณ 30% ของรายได้ร่วม ส่วนรายได้ในไทยจะมีสัดส่วน 60-65% และมาจากอิตาลีอีก 10-5%

“มั่นใจว่าจากการทุ่มงบฯและการขยายธุรกิจทั้งในไทยและเวียดนามในปีนี้ จะทำให้สามารถสร้างรายได้รวม 270,000 ล้านบาท เติบโตมากกว่า 15% จากปี 2565 เช่นเดียวกับกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย เติบโต 20%”

ฟื้นแผนดันภูเก็ตเกาะปลอดภาษี

นอกจากนี้ “ญนน์” ยังเปิดเผยถึงความพยายามสร้างความร่วมมือระหว่าง สมาคมผู้ค้าปลีกไทยกับรัฐบาล ในการผลักดันการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งเป็นฐานลูกค้าที่ทวีความสำคัญมากขึ้นในช่วงฟื้นตัวของอุตฯท่องเที่ยว

ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทยระบุว่า นอกจากการผลักดันแบบออร์แกนิกของภาคเอกชนแล้ว การผลักดันจากภาครัฐเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะกระตุ้นการเติบโตของทั้งวงการค้าปลีกและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ หลังปัญหาเศรษฐกิจโลกทำให้การส่งออกชะลอลงจนการค้าปลีกขยับขึ้นมามีบทบาทในการสร้างการเติบโตให้เศรษฐกิจแทน

ขณะนี้ สมาคมผู้ค้าปลีกไทย พยายามสานความร่วมมือกับภาครัฐ อาทิ ฟื้นแผนสร้างพื้นที่ปลอดภาษี หรือ tax free zone เพื่อดึงดูดการจับจ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยวางให้ภูเก็ตเป็นพื้นที่นำร่องในฐานะเกาะปลอดภาษี

รวมถึงพัฒนาโครงการกระตุ้นการจับจ่ายของผู้บริโภคกำลังซื้อสูงชาวไทยต่อเนื่องจากโครงการช้อปดีมีคืน ซึ่งกำลังจะสิ้นสุดลงกลางเดือน ก.พ.นี้ โดยจะเน้นสร้างโครงการให้มีเงื่อนไขความหลากหลายมากขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมผู้บริโภคได้กว้างขึ้น

“นักท่องเที่ยวที่สามารถกลับมาเดินทางได้ตั้งแต่ช่วงแรกของการผ่อนคลายมาตรการเช่นนี้ มักจะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงกว่าผู้ที่เดินทางท่องเที่ยวในช่วงปกติ จึงต้องหาทางกระตุ้นให้คนเหล่านี้ใช้จ่ายในไทย ซึ่งสินค้าปลอดภาษีเป็นแม็กเนตที่มีประสิทธิภาพ”