“ไฮเออร์” รับมือตลาดหดตัว ปูพรมสินค้าใหม่-เพิ่มช่องทางปั๊มยอด

ไฮเออร์

“ไฮเออร์ อีเลคทริคอล” เปิดเกมรุก ปี’67 ทุ่มงบฯการตลาด 1,000 ล้าน หนุน 2 แบรนด์ “ไฮเออร์-คาซาร์เต้” ประกาศปูพรมสินค้าใหม่ พร้อมเดินหน้าจัดกิจกรรมต่อเนื่องตลอดทั้งปี โฟกัสเจาะตลาดกลุ่ม Mid to High พร้อมบริการหลังการขาย เร็ว-โดนใจลูกค้า ตั้งเป้าสิ้นปี 2567 กวาดรายได้ 11,000 ล้าน เติบโต 20%

นายธเนศร์ บินอาซัน รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงภาพรวมของตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าปีนี้ว่า มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 57,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 8-10% และบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 16% และตั้งเป้าปิดยอดขายไว้ที่ 9,100 ล้านบาท ลดลง 4% แบ่งเป็นแอร์ 4,000 ล้านบาท เติบโต 12%, ตู้เย็น 1,500 ล้านบาท มีส่วนแบ่งทางการตลาดเชิงปริมาณ 12.9%, เครื่องซักผ้า 1,000 ล้านบาท, ตู้แช่ 900 ล้านบาท มีส่วนแบ่งทางการตลาด 38%, ทีวี 800 ล้านบาท เติบโต 5%, เครื่องครัว เติบโต 62%, เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก 250 ล้านบาท และเครื่องทำน้ำอุ่น 313 ล้านบาท

“จากเป้าหมายรายได้ที่ลดลง เนื่องจากบริษัทได้หันมาเน้นการขายผลิตภัณฑ์ที่เป็น Mid to High มากขึ้น เพื่อต้องการเจาะกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มกลาง-บน ที่มีกำลังซื้อค่อนข้างดี ซึ่งที่ผ่านมากลุ่ม Mid to High มีสัดส่วนจากยอดขายรวมอยู่ที่ 4,200 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 20% เมื่อเทียบกับในอดีตที่เติบโตเพียง 5% มาตลอด”

ธเนศร์ บินอาซัน
ธเนศร์ บินอาซัน

ส่วนแนวโน้มภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในปี 2567 มีแนวโน้มหดตัวลงประมาณ 3% หรือมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 55,000 ล้านบาท เนื่องจากกำลังซื้อผู้บริโภคที่ยังไม่กลับมาเท่าที่ควร ทำให้ผู้บริโภคจึงเลือกซื้อสินค้าตัวที่พอมีกำลังซื้อ โดยสินค้าที่มีแนวโน้มจะลดลงเช่น ตู้เย็น เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคในกรุงเทพฯและปริมณฑลมองว่าไม่จำเป็นต้องมีตู้เย็น เพราะมีร้านสะดวกซื้อ ซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้ตัวมากขึ้น จึงทำให้อัตราการซื้อตู้เย็นลดลง เช่นเดียวกับกลุ่มเครื่องซักผ้าก็มีอัตราการซื้อลดลงจากการที่มีร้านสะดวกซักเพิ่มมากขึ้น

ขณะที่กลุ่มแอร์ ยังคงเติบโตต่อเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนขึ้น ประกอบกับผู้บริโภคมีความต้องการติดแอร์มากขึ้น เช่น ภายใน 1 ห้องอาจจะมีแอร์ 2 ตัว เป็นต้น ส่งผลให้ปี 2567 คาดการณ์มูลค่าตลาดเครื่องปรับอากาศจะสูงถึง 20,000 ล้านบาท และแอร์ขนาด 10,000 BTU ขึ้นไปจะได้รับความนิยมมากขึ้น

กางโรดแมปปั๊มยอด

นายธเนศร์กล่าวต่อไปว่า สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2567 จะทุ่มงบฯกว่า 1,000 ล้านบาท สำหรับการทำกิจกรรมทางการตลาดให้กับแบรนด์ไฮเออร์ และคาซาร์เต้ โดยในฝั่งของไฮเออร์นั้นจะยังคงนำด้วย 2 แบรนด์แอมบาสซาเดอร์ คือ คุณบอย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ และคุณปอป้อ ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย ในการตอกย้ำเรื่องใส่ใจสุขภาพ ที่จะมาในคอนเซ็ปต์ใหม่แต่ยังคงมุ่งส่งเสริมในเรื่องสุขภาพ รวมถึงกิจกรรม Sport Marketingที่มาในภาพที่ใหญ่ขึ้น โดยจะเป็นการจัดงานในระดับ Southeast Asia รวมทั้งมีการทำภาพยนตร์โฆษณาต่าง ๆ สื่อ Out of Home และการโรดโชว์มากกว่า 500 ครั้งทั่วประเทศ

ส่วนคาซาร์เต้ ที่เน้นเจาะตลาด Luxury จะมีการใช้ KOL (Key Opinion Leaders) และ KOC (Key Opinion Consumers) หลากหลายอาชีพในระดับลักเซอรี่ มาเล่าประสบการณ์การใช้สินค้าคาซาร์เต้มากยิ่งขึ้น และจะมีการจัดกิจกรรม Exclusive Event เชิญลูกค้ามาร่วมกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งกิจกรรมกับ KOLs รุ่นใหม่ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่หรือ กลุ่ม Generation Y กับ Z

“สำหรับไฮเออร์ จะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ใน 9 หมวด ทั้งเครื่องปรับอากาศจะเพิ่มสินค้า UV Cool ซีรีส์, ตู้เย็น รวมมากกว่า 10 ซีรีส์ เครื่องซักผ้า เปิดตัวซีรีส์ Color AI ที่มีความพิเศษตรงที่แผงควบคุมหน้าจอสีสวยงามและมีไอคอนแสดงภาพที่ใช้งานสะดวก ทีวี เปิดตัวเทคโนโลยี Self-Emissive ช่วยให้ได้รับชมภาพที่เสมือนจริง ตู้แช่รุ่นใหม่ ซีรีส์ Deep Freezer และซีรีส์อื่น ๆ อีก 5 ซีรีส์ หรือเครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์ ก็ได้เพิ่มขนาดสินค้าที่หลากหลายในซีรีส์ Ceiling Type, One Way Cassette และ Chiller ด้านเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก มีการเพิ่มไลน์สินค้ามากมาย อาทิ กาต้มน้ำร้อนพร้อมระบบสัมผัสแบบดิจิทัล เครื่องปั่นอเนกประสงค์ร้อน-เย็น หม้อหุงข้าวไฟฟ้า หม้อทอดไร้น้ำมัน เป็นต้น เช่นเดียวกับเครื่องครัวที่เพิ่มสินค้าในหมวดหมู่ เครื่องดูดควัน เตาแก๊ส และเตาอบไฟฟ้า ส่วนเครื่องทำน้ำอุ่นมีสินค้ารุ่นใหม่ทั้งหมด 3 ซีรีส์ 27 รุ่น เป็นต้น”

เพิ่มช่องทางการจำหน่าย

รองประธาน บริษัท ไฮเออร์ฯ ให้ข้อมูลเพิ่มว่า นอกจากนี้ บริษัทยังจะเน้นการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายทั้ง ไฮเออร์และคาซาร์เต้ ให้กว้างขึ้น โดยเฉพาะโมเดิร์นเทรดที่ยังไม่ได้เข้าไปทำตลาดอีกมาก โดยจะมีสินค้าตั้งแต่ระดับกลางไปจนถึงระดับไฮเอนด์ เข้าไปวางจำหน่าย รวมทั้งด้านการบริการหลังการขาย ที่เน้นมาตรฐาน 210 Quick Service ที่รวดเร็วและตรงกับความต้องการของลูกค้าให้มากที่สุด โดยจะติดต่อกลับหาลูกค้าภายใน 2 ชั่วโมง หลังจากพนักงานรับเรื่องผ่านทาง Haier Care 1789 จากนั้นสรุปแนวทางแก้ไขให้ลูกค้าภายใน 1 วัน และแต่ละวันงานค้างต้องเป็น 0 จากศูนย์ซ่อมบริการรวมกว่า 187 ศูนย์

จากแผนการดำเนินงานดังกล่าว คาดว่าในปี 2567 จะมียอดขาย 11,000 ล้านบาท เติบโต 20% และมีสัดส่วนยอดขายจากสินค้ากลุ่ม Mid to High 6,000 ล้านบาท ของพอร์ต ก่อนที่ในปี 2569 จะสปีดการเติบโตขึ้นเป็น 2 เท่า โดยตั้งเป้ารายได้ 22,000 ล้านบาท จากการทำตลาดสินค้ากลุ่ม Mid to High 60-80% ของพอร์ต และขึ้นเป็นผู้นำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 30% จากปีนี้ที่มีอยู่ 16%

“อย่างไรก็ตาม จากสภาพอากาศที่ร้อนมากขึ้น จะเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้ามีโอกาสในการขายมากขึ้น รวมถึงช่องทางใหม่ ๆ ทั้งแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ หรือการขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว กัมพูชา และเมียนมา เป็นต้น”