ไฮเออร์ ลุยไม่ยั้งรับเศรษฐกิจฟื้น ส่งทัพ 4 แบรนด์เจาะตลาดแมสยันพรีเมี่ยม

Haier

“ไฮเออร์” ทุ่มพันล้าน นำทัพ 4 แบรนด์ “คาซาร์เต้-ไฮเออร์-แคนดี้-อยู่ดี” ยึดตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าปี’66 ตั้งแต่กลางถึงไฮเอนด์ ด้วยขบวนสินค้าใหม่มากกว่า 60 รายการ ชูฟังก์ชั่นสุขภาพ-ความสะดวก ด้านการตลาด ต่อสัญญาพรีเซ็นเตอร์ “บอย-ปกรณ์” ปีที่ 5 พร้อมระดมกิจกรรม-สื่อสารสร้างรับรู้ โฟกัสปั้น “คาซาร์เต้” เจาะไฮเอนด์ มั่นใจยอดขายปี’66 แตะ 1.2 หมื่นล้านโต 20% หลังปีนี้ทำยอด 1 หมื่นล้าน โตสวนตลาด

นายธเนศร์ บินอาซัน รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ อีเลคทริคอล แอพพลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านปี พ.ศ. 2566 ที่จะถึงนี้ มีโอกาสเติบโตระดับ 3-4% ด้วยแรงหนุนจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและสภาพเศรษฐกิจ

โดยเฉพาะการกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคในกลุ่มอื่นนอกจากระดับกลาง-บนมีกำลังซื้อมากขึ้นตามไปด้วย โดยเริ่มเห็นสัญญาณตั้งแต่ช่วงท้ายปี 2565 ที่นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมา

นับเป็นการพลิกกลับมาฟื้นตัว หลังจากปี พ.ศ. 2565 นี้ ตลาดมูลค่า 5.3 หมื่นล้านบาท หดตัวจากปีที่แล้วประมาณ 7% เป็นผลจากการหดตัวของกลุ่มแอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็ก เนื่องจากปัจจัยสภาพอากาศ เงินเฟ้อ และเศรษฐกิจที่ช่วง 6 เดือนแรกยังได้รับผลกระทบจากโควิด-19 สอดคล้องกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ประเมินว่า จีดีพีปี พ.ศ. 2565 จะอยู่ที่ 3.3% เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดจะหดตัว แต่ยอดขายของบริษัทสามารถเติบโตสวนทางในระดับ 14-15% คิดเป็นยอดขาย 1 หมื่นล้านบาท หลังสามารถจับกลุ่มผู้บริโภคระดับกลาง-บนที่ยังมีกำลังซื้อและยังต้องการสินค้า รวมถึงการมีแบรนด์ย่อยอีก 3 แบรนด์ คือ คาซาร์เต้ แคนดี้ และอยู่ดี ที่ช่วยให้มีสินค้า-รูปแบบการขายครอบคลุมทุกระดับกำลังซื้อ

ส่ง 4 แบรนด์ล้อมยึดตลาด

ด้วยแนวโน้มการฟื้นตัวของตลาด และความสำเร็จของยุทธศาสตร์แบรนด์ย่อยนี้ ในปี พ.ศ. 2566 บริษัทจึงตัดสินใจต่อยอดยุทธศาสตร์นำทั้ง 4 แบรนด์ คือ คาซาร์เต้ ที่วางโพซิชั่นในระดับไฮเอนด์, ไฮเออร์ ที่อยู่ระดับกลาง-บน, แคนดี้ ซึ่งเป็นระดับกลาง และอยู่ดี ที่เป็นเน้นสินค้าไอโอทีคู่กับโมเดลผ่อนชำระแบบไม่ต้องใช้บัตรเครดิต รุกชิงเม็ดเงินและส่วนแบ่งในตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านไล่ตั้งแต่ระดับแมสไปจนถึงระดับไฮเอนด์ ครอบคลุมวัยทำงานไปจนถึงกลุ่มครอบครัว

โดยเตรียมทุ่มงบฯการตลาดเพิ่มจาก 800 ล้านบาทในปีนี้ เป็น 1 พันล้านบาท ระดมเปิดตัวสินค้าพร้อมเทคโนโลยีใหม่ในทุกแบรนด์

พร้อมโหมสื่อสารสร้างการรับรู้ในทุกรูปแบบทั้งออนไลน์-ออฟไลน์ และในทุกช่องทางทั้งอะโบฟ-บีโลว์เดอะไลน์ ตามเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งในกลุ่มเครื่องซักผ้าและตู้เย็นจากเบอร์ 3 ขึ้นเป็นเบอร์ 2 รวมถึงผลักดันยอดขายเติบโต 20% เป็น 1.2 หมื่นล้านบาท ก่อนจะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในตลาดรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านด้วยยอดขาย 1.5 หมื่นล้านบาท ในปี พ.ศ. 2568

รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเออร์ฯ อธิบายรายละเอียดแผนในปีหน้าว่า ด้านตัวสินค้าจะมีสินค้าใหม่จากกลุ่มต่าง ๆ ทั้งแอร์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า ทีวี เครื่องครัว เครื่องทำน้ำอุ่น และเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กรวมกันมากกว่า 60 รุ่น พร้อมด้วยฟังก์ชั่นด้านสุขภาพและอำนวยความสะดวกตามโจทย์ของผู้บริโภค รวมถึงขนาดที่หลากหลายมากขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมผู้บริโภคทุกกลุ่ม

“ในยุทธศาสตร์นี้ เราพยายามให้แต่ละแบรนด์มีสินค้าทุกกลุ่มให้ผู้บริโภคสามารถเลือกได้ตามกำลังซื้อ จากนั้นจึงสับหลีกเรื่องช่องทางจำหน่าย โดยไฮเออร์จะลดการขายออนไลน์ลง ในขณะที่แคนดี้จะลดออฟไลน์และเพิ่มออนไลน์ ช่วยให้แต่ละช่องทางมีสินค้าเด่นและครอบคลุมมากขึ้น โดยไม่กระทบกันเอง”

ทัพสินค้าใหม่ชูสุขภาพ-สะดวก

โดยในแบรนด์ไฮเออร์นั้น กลุ่มแอร์จะเพิ่มรุ่นที่มีฟังก์ชั่นฆ่าเชื้อด้วยแสงยูวีซี อีก 2 รุ่น คือ UV Cool Easy และ UV Cool Standard เพื่อขยายฐานลูกค้าในโมเดิร์นเทรดและร้านแอร์ ส่วนตู้เย็นจะเพิ่มโมเดลไซด์บายไซด์และมัลติดอร์ที่มีฟังก์ชั่นทำน้ำแข็งและทำน้ำเย็น ตามแผนเพิ่มส่วนแบ่งในเซ็กเมนต์ตู้เย็นไซซ์ใหญ่

ด้านเครื่องซักผ้าจะขยายไลน์อัพรุ่นที่มีฟังก์ชั่นทำความสะอาดตัวเอง โดยเพิ่มขนาด 16 กิโลกรัม และ 18 กิโลกรัมเข้ามา รวมถึงเพิ่มเครื่องอบผ้า 3 รุ่น มารองรับความนิยมใช้งานเครื่องอบผ้าที่เพิ่มขึ้น สำหรับทีวีเตรียมเปิดตัวรุ่นเรือธง C900 พร้อมไฮไลต์หน้าจอ OLED ขนาด 55 นิ้ว และระบบสมาร์ทแบบ Google TV ระบบเสียงจาก Harman Kardon รวมถึงรุ่นอื่น ๆ โดยจะมีไซซ์ใหญ่สุด 98 นิ้ว

ขณะที่ตู้แช่ จะมีสินค้าใหม่ 26 รุ่น ทั้งรุ่นอัพเกรดและรุ่นใหม่ รวมถึงขยายตลาดไปรุกงานโครงการด้วยตู้แช่เครื่องดื่มใหม่ 3 รุ่น เพื่อสร้างการเติบโตหลังปัจจุบันเป็นเบอร์ 1 ของตลาดครัวเรือนแล้ว ส่วนเครื่องครัว เตรียมเปิดตัวเครื่องดูดควัน, เตาแก๊ส และเตาอบบิลต์อิน จำนวน 5 รุ่น พร้อมระบบ AI เชื่อมต่อการใช้งานคู่กัน

ย้ำจุดเด่นด้านความปลอดภัยและความสะดวก เช่นเดียวกับเครื่องทำน้ำอุ่น จะมีสินค้าใหม่มากกว่า 10 รุ่น พร้อมระบบป้องกันไฟฟ้าดูด ด้านเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นเล็กจะมีรุ่นใหม่ 13 รุ่น ทั้งหม้อทอดไร้น้ำมัน, ไมโครเวฟ, หม้อหุงข้าว และเครื่องดูดฝุ่น ส่วนแอร์เชิงพาณิชย์ ปีหน้าระบบ Fix Speed ทุกรุ่น จะเปลี่ยนมาใช้น้ำยา R32 และเพิ่มสินค้ารุ่น 1-Way Cassette หรือแอร์ฝังฝ้า 1 ทิศทางอีกด้วย

สำหรับอีก 3 แบรนด์นั้น คาซาร์เต้ จะเพิ่มสินค้าอีก 6 เอสเคยู หนึ่งในนั้นจะเป็นทีวี จากเดิมที่มีสินค้า 10 เอสเคยู เพื่อการรุกกลุ่มไฮเอนด์ ส่วนแคนดี้จะเพิ่มความหลากหลายมากขึ้น ตามเป้าเพิ่มยอดขายอีก 100 ล้านบาท เป็น 530 ล้านบาท และขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในช่องทางอีคอมเมิร์ซ ไปในทิศทางเดียวกับอยู่ดี ซึ่งจะนำสินค้าเข้าร่วมเพิ่มอีก 6 โมเดล เป็น 14 โมเดล พร้อมลงทุนการตลาด 24 ล้านบาท เพื่อผลักดันยอดขายโตเท่าตัวจาก 200 ล้านบาท เป็น 400 ล้านบาท

โหมกิจกรรม-ผุดศูนย์บริการ

ในส่วนของการทำตลาด นายธเนศร์กล่าวต่อไปว่า จะเดินหน้าเพิ่มช่องทางจำหน่ายและการให้บริการหลังการขาย ด้วยการปักธงแฟลกชิปสโตร์ เพิ่มจุดจำหน่ายในโมเดิร์นเทรดและร้านดีลเลอร์ รวมถึงเพิ่มจำนวนศูนย์บริการ ควบคู่กับการจัดกิจกรรมและสื่อสารผ่านสื่อ

โดยเฉพาะคาซาร์เต้ที่เป็นแบรนด์น้องใหม่ จะเน้นจัดกิจกรรมทั้งออนไลน์และออฟไลน์ในแบบ exclusive event รวมถึงเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายไปตามหัวเมืองในแต่ละภูมิภาค ควบคู่กับการใช้ KOLs ที่มีฐานผู้ติดตามเป็นกลุ่มลักเซอรี่มาช่วยแนะนำแบรนด์ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังต่อสัญญา “บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 รวมถึงเดินสายจัดกิจกรรม-โปรโมชั่นในร้านค้าและร้านดีลเลอร์เต็มที่ เชื่อมั่นว่า ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยให้บรรลุเป้ายอดขาย 1.2 หมื่นล้านบาท เติบโต 20% ตามที่วางไว้ได้แน่นอน