“ไดกิ้น” บุกหนักชิงแอร์ 3 หมื่นล้าน โปรแรงเจาะ B2C ชู ESG มัดค้าปลีก-อสังหา

แอร์ไดกิ้น

“ไดกิ้น” เปิดเกมรุกหนัก 2 แนวรบ ทั้งครัวเรือน-งานโครงการ ชิงจังหวะอากาศร้อนทะลุปรอท-ค่าไฟพุ่ง ทุ่ม 150 ล้าน ย้ำจุดขายประหยัดพลังงานทั้งฉลากเบอร์ 5 ใหม่ ค่า SEER หรือค่าประสิทธิภาพพลังงานที่อยู่สูงกว่าเกณฑ์ทั่วไป พร้อมโปรฯคืนเงิน 3.2 พันบาท ตั้งแต่ไก่โห่ หวังคว้าลูกค้าครัวเรือน ด้านงานโครงการชูโพซิชั่นผู้ช่วยปั้น ESG ตอบโจทย์ค้าปลีก-อสังหาฯ มั่นใจสิ้นปีโตเหนือตลาด พร้อมมาร์เก็ตแชร์ 20%

นายวรุตม์ เลขะจิระกุล ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาด บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ในปี 2567 นี้บริษัทจะเร่งเครื่องรุกสร้างรายได้และชิงส่วนแบ่งตลาดจากทั้งฝั่งลูกค้าทั่วไป หรือ B2C และลูกค้างานโครงการ หรือ B2B เพื่อใช้จังหวะที่ตลาดแอร์บ้านมูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านบาท จะเติบโตอีก 20% และฟื้นกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับปี 2562 หรือช่วงก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 หลังปี 2566 ที่ผ่านมา ตลาดเติบโตได้ถึง 15% จากสภาพอากาศร้อนจัดยาวนานเกือบตลอดทั้งปี เช่นเดียวกับตลาดแอร์โครงการซึ่งมีดีมานด์จากทั้งธุรกิจค้าปลีก อสังหาฯที่ต่างเดินหน้าลงทุนขยายสาขา-โครงการใหม่ รวมถึงกลุ่มโรงแรมที่พักซึ่งรีโนเวตสถานที่เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว

นายวรุตม์ เลขะจิระกุล
นายวรุตม์ เลขะจิระกุล

ด้วยการทุ่มงบฯการตลาด 150 ล้านบาท พร้อมด้วยยุทธศาสตร์และไลน์อัพแอร์ปี 2567 ที่มุ่งตรงไปตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่มไม่ว่าจะเป็นครัวเรือนหรือลูกค้าโครงการอย่างการประหยัดไฟ และการทำ ESG ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตในอัตราสูงกว่าตลาด และชิงส่วนแบ่งตลาดแอร์เพิ่มจาก 16-17% ในปัจจุบันเป็น 20% ภายในปี 2567 นี้

รับมือดีมานด์แอร์ราคาถูกมาแรง

สำหรับกลุ่มลูกค้าครัวเรือนนั้น แม้ตลาดจะเติบโตแต่มีความท้าทายแฝงอยู่ เนื่องจากแอร์แต่ละระดับราคามีโอกาสเติบโตไม่เท่ากัน โดยกลุ่มแอร์ระดับแมสที่ราคาเฉลี่ยประมาณบีทียูละ 1.30 บาท ลงไป เช่น แอร์อินเวอร์เตอร์ ขนาด 1.2 หมื่นบีทียู ราคารวมติดตั้งไม่เกิน 1.6 หมื่นบาท มีแนวโน้มเติบโตสูงเป็นพิเศษ หลังปีที่แล้วแอร์กลุ่มนี้ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 45% ของตลาดเติบโตสูงกว่าตลาดรวม เนื่องจากการรุกตลาดของแอร์จากจีนซึ่งเข้ามาตั้งโรงงานในไทยทำให้สามารถทำราคาได้ต่ำลง ขณะที่สภาพเศรษฐกิจยังไม่มีปัจจัยบวกและยังไม่ฟื้นตัวมากนัก ทำให้ผู้บริโภคชนชั้นกลางและกลุ่มเริ่มทำงานระมัดระวังการจับจ่ายและหันหาสินค้าราคาจับต้องง่ายมากขึ้น

จุดนี้นับเป็นหนึ่งในความท้าทายของไดกิ้น เนื่องจากโพซิชั่นที่จับตลาดกลาง-บน และเน้นประสิทธิภาพการประหยัดไฟเป็นจุดขายหลัก ทำให้มีไลน์อัพแอร์ในระดับราคาดังกล่าวไม่มากนัก และราคาอยู่ในระดับใกล้ชนเพดานของกลุ่ม หรือประมาณ 1.69-1.7 หมื่นบาท

ด้วยเหตุนี้ จึงต้องใช้โอกาสจากกระแสการสร้างความรับรู้เรื่องฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 แบบใหม่ของภาครัฐ ซึ่งฉลากแบบใหม่นี้มีมาตรฐานสูงขึ้นกว่าเดิม ทำให้กลุ่มสินค้าที่เน้นราคาขายเพียงอย่างเดียวนั้นยากที่จะผ่านการรับรองฉลากเบอร์ 5 ได้ จึงน่าจะมาถ่วงดุลการตัดสินใจของผู้บริโภคให้หันมาลงทุนกับแอร์ที่ประหยัดไฟมากกว่าแค่ราคาเครื่องถูกเพียงอย่างเดียว

“มั่นใจว่าผู้บริโภคจะให้ความสนใจกับฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 แน่นอน เพราะค่าไฟเป็นหนึ่งในเรื่องที่คนให้ความสนใจ และแอร์เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟมากที่สุดในบ้าน ถ้าเปิดวันละ 8 ชั่วโมง ค่าไฟและหักตู้เย็น-ทีวีออกไป ค่าไฟจะมาจากแอร์เกินครึ่ง จนอาจพูดได้ว่าคนคงไม่กล้าซื้อแอร์ที่ไม่มีฉลากเบอร์ 5 แน่”

ทุ่ม 150 ล้าน อัดโปรแต่ไก่โห่

พร้อมกันนี้ บริษัทยังเตรียมทุ่มงบฯการตลาด 150 ล้านบาท จัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป เริ่มจาก “ไดกิ้นคุ้มดีมีคืน” เริ่มตั้งแต่ 15 ก.พ.-31 พ.ค. 2567 โดยแจกคะแนนไดกิ้นวอลเลตสูงสุด 800 คะแนน หรือคิดเป็นมูลค่า 3,200 บาท (1 คะแนนมีค่า 4 บาท) สำหรับใช้ใน 21 ร้านค้าอย่าง เซ็นทรัล, บิ๊กซี, สตาร์บัคส์, ลาซาด้า, ช้อปปี้, ปั๊มบางจาก ฯลฯ เมื่อซื้อแอร์รุ่นที่ร่วมรายการจากดีลเลอร์ที่ร่วมรายการ

พร้อมกับลงพื้นที่จัดโปรโมชั่นในห้างสรรพสินค้า-ร้านค้าตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เช่น งาน DAIKIN SUMMER FAIR 2024 ที่ FUTURE PARK RANGSIT ตั้งแต่ 23 ก.พ.-6 มี.ค. 67 ก่อนตามด้วยงานโฮมฮับแฟร์ ที่โฮมฮับขอนแก่น ตั้งแต่ 2-6 มี.ค. 67

ส่วนการสื่อสารจะมุ่งโปรโมตจุดเด่นด้านการประหยัดไฟของแอร์รุ่นปี 2567 ซึ่งแอร์แบบติดผนัง 5 รุ่นใหม่ต่างผ่านมาตรฐานฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 แบบใหม่ อาทิ รุ่นเริ่มต้นอย่าง KQ Star Series ที่มาพร้อมฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 แบบ 1 ดาว ไปจนถึงรุ่นไฮไลต์ KZ Star Series ที่มีค่า SEER สูงสุด 26.50 ขณะที่รุ่นอื่น ๆ ทุกรุ่นมีค่า SEER หรือค่าประสิทธิภาพพลังงานที่อยู่สูงกว่าเกณฑ์ทั่วไป

ด้วยแคมเปญการตลาดในคอนเซ็ปต์ Daikin MAX Inverter Star Series เน้นย้ำเรื่องการได้ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 แบบใหม่ และการตอบ 4 โจทย์ที่ผู้บริโภคไทยให้ความสนใจเมื่อเลือกซื้อแอร์ไม่ว่าจะเป็นประหยัดไฟ-เย็นเร็ว-ทนทาน-ทำงานเงียบ โดยใช้พรีเซ็นเตอร์ ณ เดชน์ คูกิมิยะ ประกบคู่กับ บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล ที่เป็นตัวแทนของคนทุกเจเนอเรชั่น พร้อมกับภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่

นอกจากนี้ยังเพิ่มจุดขายด้านความเชื่อมั่นด้วยการขยายระยะเวลารับประกันของแอร์แบบติดผนังรหัส Series Y เป็น 5 ปีเต็มทันทีโดยไม่ต้องลงทะเบียน ทั้งในส่วนของคอมเพรสเซอร์,แผง PCB, แผงคอยล์เย็น และแผงคอยล์ร้อน รวมถึงเพิ่มทีม-จุดบริการหลังการขายในภาคเหนือตอนล่างและภาคใต้ตอนบน เพื่อลดระยะเวลารอรับบริการให้สั้นลงกว่าเดิม

ปั้นโพซิชั่นผู้ช่วยปั้น ESG

นายวรุตม์กล่าวต่อไปว่า สำหรับลูกค้าโครงการ หรือ B2B ไดกิ้น จะหยิบยกกระแสแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน ESG (Environment, Social และ Governance) มาเป็นจุดขาย ด้วยการวางโพซิชั่นแบรนด์ให้เป็นพันธมิตรสำหรับช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถบรรลุเป้า ESG ได้ง่ายขึ้น จากความสามารถด้านการประหยัดไฟของแอร์ไดกิ้น เพื่อตอบโจทย์กระแสการทำ ESG ทั้งในวงการค้าปลีกและอสังหาฯ พร้อมกันนี้ยังขยายทีมงานเพิ่มอีก 10% อย่าง ทีมพิเศษสำหรับดูแลผู้ประกอบการโรงแรม เช่นเดียวกับดีลเลอร์ที่รับงานโครงการต่าง ๆ เพื่อรองรับลูกค้าองค์กรในแต่ละพื้นที่ เช่น เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ประกอบด้วย
ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา

“ปีนี้การซื้อแอร์ทดแทนเครื่องเก่าน่าจะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะทั้งธุรกิจโรงแรมและครัวเรือนต่างมีปัจจัยกระตุ้นให้อัพเกรดแอร์เพื่อรองรับลูกค้าและประหยัดค่าไฟ รวมถึงการผลักดันของภาครัฐผ่านการประชาสัมพันธ์ฉลากเบอร์ 5 แบบใหม่ ด้วยปัจจัยบวกของตลาดและยุทธศาสตร์เหล่านี้เชื่อว่า บริษัทจะสามารถสร้างการเติบโตในอัตราสูงกว่าตลาด และชิงส่วนแบ่งตลาดแอร์เพิ่มจาก 16-17% ในปัจจุบันเป็น 20% ภายในปี 2567 นี้ได้” นายวรุตม์ย้ำในตอนท้าย