DAPPER แบรนด์แฟชั่นที่คร่ำหวอดในอุ
วันที่ 2 เมษายน 2567 นางสาวศิริทิพย์ ศรีไพศาล ผู้อำนวยการธุรกิจ บริษัท แดพเพอร์เจ็นเนอรัล อะแพเร็ล จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจแฟชั่นเสื้อผ้าแบรนด์ “แดพเพอร์” (Dapper) เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจงานในปี 2567 บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ราว 500 ล้านบาท จากในปีที่แล้วที่อยู่ที่ราว 400 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าหมายในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ต้องการให้สินค้า 40-50% ตอบโจทย์เรื่องความยั่งยืน
และในส่วนการขยายธุรกิจเพิ่มเติม อาจจะเป็นการเข้าสู่ตลาดเสื้อผ้ามือสอง เพิ่มบริการให้เช่าเสื้อผ้าและแลกคืนเสื้อผ้าเพื่อยืดเวลาการใช้งานได้ยาวกว่าเดิมเพราะต้องการลดการผลิตแต่ทำให้สินค้ามีชีวิตได้ยาวขึ้น
ซึ่งปัจจุบัน ยอดขายเสื้อผ้า Casual Wear มีสัดส่วน 60% เทียบกับยอดขาย Formal Wear ที่ 40% โดยในอนาคต คาดว่าสัดส่วนยอดขาย Casual Wear จะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 70% ส่วนการขายเสื้อผ้าสำหรับผู้หญิง ปัจจุบันมีอยู่ในสัดส่วนเล็กน้อยและยังไม่มีแผนที่จะขยายเพิ่มในอนาคต
ความท้าทายในการดำเนินธุรกิจ
สำหรับความท้าทายในการดำเนินธุรกิจในปี 2567 ของอุตสาหกรรมแฟชั่นในปัจจุบันที่มีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ประมาณ 400,000 ล้านบาท คือ พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการสร้างแบรนด์ การสื่อสาร การรักษาฐานลูกค้า จึงเป็นสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญ ทำให้มีการปรับแผนงานเพื่อลดปัจจัยลบที่เข้ามากระทบ และสร้างการเติบโตระยะยาว โดยจะเน้นนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามามี
ล่าสุด บริษัทได้ริเริ่มนำเทคโนโลยี AI เข้ามามีส่วนร่วมในขั้
“โดยคีย์แฟชั่นไอเทมในคอลเลกชั
ชู AI Marketing
อย่างไรก็ตาม แดปเปอร์ยังคงมุ่งมั่นในการให้บริ
ซึ่งดาต้าที่เก็บรวบรวมจากทุกช่
ทั้งนี้ นอกจากการนำ AI มาสร้างสรรค์งานศิลปะแล้ว DAPPER ก็ยังให้ความสำคัญกับ AI Marketing ที่จะช่วยให้ธุรกิจสร้
- การใช้ AI เพื่อดำเนินกิจกรรมด้
านการตลาดการสร้าง Content โดยสามารถส่งเนื้อหาที่ เหมาะสมให้กับกลุ่มเป้ าหมายในเวลาที่เหมาะสมกั บความสนใจเฉพาะบุคคล ทำให้กลุ่มเป้าหมายมีความสัมพั นธ์ที่ดี และความเชื่อมั่นในแบรนด์ - นำ AI มาช่วยออกแบบหน้าเว็บไซต์ให้มี
ความทันสมัย และใช้งานง่าย จัดกลุ่มความสนใจของลูกค้า และพัฒนาการทำ SEO ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด อีกทั้งการนำ Chatbot ที่ AI มีบทบาทในการช่วยพัฒนาชุ ดคำตอบให้เสมือนมนุษย์ เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกให้กั บลูกค้าด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ปัจจุบัน DAPPER มีสาขาในประเทศไทยอยู่ 55 สาขา ส่วนในต่างประเทศมีตัวแทนจำหน่ายที่กัมพูชา 3 สาขา ทำให้มีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติประมาณ 15% ในประเทศเพื่อนบ้าน โดยตั้งเป้าในปีหนึ่งจะขยายสาขา 3-5 แห่งในไทย ส่วนเม็ดเงินลงทุนในแต่ละสาขาอยู่ที่ประมาณ 700,000-1,000,000 บาท