“แคนนอน” พลิกนโยบายผลิตสินค้า เล็งเอาต์ซอร์ซพรินเตอร์-กล้องรุ่นเล็ก

canon
คอลัมน์ : Market Move

แคนนอน นับเป็นหนึ่งในบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นที่ยังเน้นการผลิตสินค้าต่าง ๆ ทั้งอุปกรณ์สำนักงาน กล้องดิจิทัล และอื่น ๆ ด้วยโรงงานของตนเองเป็นหลักมาอย่างยาวนาน แต่ล่าสุดมีแนวโน้มว่ายักษ์เทคโนโลยีจะเปลี่ยนนโยบายที่ยึดถือมานานนี้ และหันไปใช้การเอาต์ซอร์ซแทน เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดีมานด์ของบางสินค้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

สำนักข่าว “นิกเคอิ เอเชีย” เผยแพร่บทสัมภาษณ์ “ฟูจิโอะ มิตะไร” ประธานและซีอีโอของแคนนอน เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2025 ถึงเหตุผลเบื้องหลังและรายละเอียดของแผนปรับเปลี่ยนนโยบายการผลิตสินค้าในครั้งนี้

“มิตะไร” กล่าวว่า บริษัทมีแผนการปรับโครงสร้างเครือข่ายการผลิตในต่างประเทศ ด้วยการเอาต์ซอร์ซกระบวนการผลิตสินค้าบางรายการอย่างพรินเตอร์ราคาประหยัด และกล้องดิจิทัลระดับเริ่มต้น ซึ่งเดิมมีฐานการผลิตในภูมิภาคเอเชีย

โดยตามแผนนี้โรงงานแคนนอนในญี่ปุ่นจะมีสถานะเป็น “โรงงานแม่” (Mother Factories) ซึ่งจะรับหน้าที่พัฒนาเทคโนโลยีสำหรับผลิตสินค้าระดับเรือธง พร้อมกับเน้นการลดต้นทุนด้วยการนำระบบอัตโนมัติและเปลี่ยนมาจัดหาอุปกรณ์ในการผลิตด้วยตนเอง

พร้อมกันนี้จะปรับกระบวนการผลิตสินค้าอย่างพรินเตอร์ราคาประหยัด และกล้องดิจิทัลรุ่นเริ่มต้น ให้มีภาระด้านสินทรัพย์ต่อบริษัทน้อยลงด้วยการเอาต์ซอร์ซไปยังผู้ผลิตภายนอก แทนการผลิตด้วยโรงงานของบริษัทเอง

เนื่องจากปัจจุบันดีมานด์กล้องดิจิทัลและอุปกรณ์สำนักงานซึ่งยุคหนึ่งเคยเป็นสินค้าหลักนั้นลดลงไปมาก หลังผู้บริโภคหันไปถ่ายรูปด้วยสมาร์ทโฟน ส่วนบริษัทห้างร้านต่าง ๆ เปลี่ยนไปสู่ยุคไร้กระดาษ หรือเปเปอร์เลส ส่งผลให้ปริมาณสินค้าที่ต้องผลิตลดลงอย่างมากตามไปด้วย จนการเอาต์ซอร์ซจะเป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพกว่าการผลิตเอง

ADVERTISMENT

โดยความเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนชัดในตัวเลขยอดขายที่นับตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจโลกเมื่อปี 2008 ยอดขายรวมของธุรกิจกล้อง, เครื่องถ่ายเอกสาร, เครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชั่น และพรินเตอร์ หายไปกว่า 1.3 ล้านล้านเยน (2.85 แสนล้านบาท)

ขณะเดียวกัน เมื่อปี 2022 บริษัทตัดสินใจปิดโรงงานผลิตกล้องคอมแพ็กต์ในจูไห่ ประเทศจีน เนื่องจากตลาดกล้องเปลี่ยนไปนิยมกล้องระดับไฮเอนด์อย่างมิเรอร์เลส

ADVERTISMENT

นอกจากนี้ การหดตัวของธุรกิจอุปกรณ์สำนักงานยังเห็นได้จากความเคลื่อนไหวของผู้เล่นรายอื่น ๆ ในวงการ เช่น ริโก้ (Ricoh) ที่เมื่อเดือนกันยายน 2024 ประกาศลดพนักงานทั่วโลกลง 2,000 คน ในส่วนของฝ่ายอุปกรณ์สำนักงาน รวมถึงทีมขายและบำรุงรักษา ตามแผนลดขนาดธุรกิจอุปกรณ์สำนักงาน และหันไปเน้นบริการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านงานออฟฟิศสู่ดิจิทัล

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของธุรกิจอุปกรณ์การแพทย์ ที่เป็นกุญแจสำคัญของแผนสร้างการเติบโตนั้น แคนนอนเดินหน้าปรับโครงสร้างของหน่วยธุรกิจแคนนอน เมดิคัล ซิสเต็มส์ (Canon Medical Systems) ซึ่งบริษัทซื้อมาจากโตชิบา ยักษ์อุตสาหกรรมสัญชาติญี่ปุ่นอีกรายเมื่อปี 2016

โดยในปี 2024 บริษัทตั้งคณะกรรมการนวัตกรรมสำหรับธุรกิจการแพทย์ขึ้น เพื่อศักยภาพการทำกำไรของธุรกิจนี้ให้สูงขึ้นอีก

รวมถึงยังมีการร่วมงานด้านวิจัยพัฒนาของกลุ่มธุรกิจการแพทย์ที่เคยแยกเป็นเอกเทศ และย้ายบุคลากรด้านวิจัยและพัฒนา จำนวนกว่า 300 คนจากหน่วยธุรกิจการแพทย์มายังแคนนอนอีกด้วย ทั้งนี้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าอุปกรณ์ทางการแพทย์ และช่วยให้การลงทุนสะดวกยิ่งขึ้น รวมถึงด้านอื่น ๆ ของธุรกิจ เช่น งานขาย

โดยก่อนหน้านี้ แคนนอน เมดิคัล ซิสเต็มส์นั้น ดำเนินงานแบบอิสระในฐานะบริษัทในเครือ แต่หลังจากนี้บริษัทต้องการเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัท โดยการบูรณาการหน่วยธุรกิจนี้กับฝ่ายปฏิบัติการของแคนนอนสำนักงานใหญ่มากขึ้นเรื่อย ๆ

“ด้วยการนำระบบอัตโนมัติเข้ามาเสริมแกร่งกระบวนการผลิต และการเปลี่ยนจากธุรกิจที่จำหน่ายสินค้าให้ผู้บริโภค (B2C) ไปเป็นการจำหน่ายให้องค์กรธุรกิจ (B2B) จะช่วยให้บริษัทก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงขึ้นได้”

ขณะเดียวกัน “ฟูจิโอะ มิตะไร” ยังเผยว่า ปีงบฯ 2024 ซึ่งจะสิ้นสุดปลายเดือน
มีนาคม 2025 นี้ มีความเป็นไปได้สูงที่บริษัทจะสามารถบรรลุเป้ายอดขาย 4.5 ล้านล้านเยน (9.94 แสนล้านบาท) ซึ่งเป็นเป้าหมายสำหรับปี 2025 ได้ นอกจากนี้ยังตั้งเป้าเพิ่มผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้นให้สูงกว่า 10% ในปีนี้ จากประมาณการ 9.6% ในปี 2024