
MK Group เดินหน้ากลยุทธ์ “Value Strategy” รับมือเศรษฐกิจท้าทายปี 2568 พร้อมเตรียมขยายธุรกิจรอบด้าน เพื่อเสริมแกร่งธุรกิจร้านอาหาร-ค้าปลีก-โลจิสติกส์
นางสาวทานตะวัน ธีระโกเมน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลากว่า 39 ปี MK Group ยังคงยึดมั่นพันธกิจในการเติมเต็มความสุขให้กับทุกครอบครัว พร้อมยกระดับสุขภาพที่ดีอย่างเข้าถึงได้ และตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะยังคงเป็นเสาหลักขององค์กรในปี 2568 ท่ามกลางความท้าทายของภาพรวมธุรกิจร้านอาหารที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ โดยเฉพาะเชนร้านอาหารขนาดใหญ่
ชูกลยุทธ์ “Value Strategy”
โดยในปี 2568 MK Group เตรียมรับมือกับการแข่งขันที่รุนแรงและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ผ่านกลยุทธ์ “Value Strategy” ซึ่งประกอบด้วย 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่ 1.Value Creation มุ่งสร้างประสบการณ์ใหม่ที่มีคุณค่า โดยใช้ Customer Insight มาพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ผู้บริโภค
2.Value Relationship ยกระดับการตลาดผ่านการทำ Segmentation และ Data Personalization เพื่อรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว และ 3.Value Accessible สร้างโอกาสให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าและบริการคุณภาพในราคาคุ้มค่า ผ่านโปรโมชั่นและโมเดลธุรกิจที่ยืดหยุ่นมากขึ้น
“ปัจจัยสำคัญของกลยุทธ์ในปีนี้ คือ การทำความเข้าใจความต้องการลูกค้าให้ได้มากที่สุด ควบคู่ไปกับการพัฒนาสินค้าและบริการ เพื่อสร้าง Value Creation เพิ่มประสบการณ์รอบด้านที่ตอบโจทย์ลูกค้า อีกทั้งยังมีเรื่องการปรับรูปแบบการสื่อสารที่สนุกสนาน เพื่อสร้าง Engagement อย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการกระตุ้นยอดขายด้วย Value Promotion ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกคุ้มค่าที่สุดในการตัดสินใจซื้อ”
ยกตัวอย่างเช่น MK Restaurants เปิดแคมเปญ “มูเก็ตติ้ง” ช่วงตรุษจีน แจกหมี่หยกยาว 99 ซม. และโปรโมชั่น “หมูมาราธอน” แบบกินไม่อั้น, Yayoi เปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ “เจฟ ซาเตอร์” พร้อมเมนูพิเศษญี่ปุ่นแบบครบเซต, แหลมเจริญซีฟู้ด รุกตลาดครอบครัวด้วยโปรโมชั่น “Family Set” ราคาเริ่มต้นเพียง 699 บาท, MK Buffet เตรียมปรับราคาลงและเพิ่มเมนูใหม่ให้ตรงใจลูกค้ากลุ่มบุฟเฟต์ และ HIKINIKU TO COME แบรนด์ใหม่สไตล์ญี่ปุ่น เจาะตลาดร้านอาหาร Specialist ด้วยเมนูแฮมเบิร์กคุณภาพสูงในราคาที่จับต้องได้
รุกตลาดค้าปลีก-ขยายช่องทางจำหน่าย
นางสาวทานตะวันกล่าวต่อว่า ในส่วนของธุรกิจค้าปลีกที่กำลังมาแรง นอกจากน้ำจิ้มสุกี้ MK ยังมีชุดสุกี้ลูกชิ้นรวมมิตร, ชุดบะหมี่หยกลูกชิ้นรวมมิตร และล่าสุดกับบะหมี่เกี๊ยวกุ้งซุปสุกี้ CP x MK เพื่อสร้าง Brand Recall ให้กับแบรนด์ MK Restaurants และเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง ซึ่งการพัฒนาสินค้าในกลุ่มนี้ยังมีแบบต่อเนื่อง โดยเบื้องต้นในปีนี้ก็มีแผนเตรียมออกเมนูน้ำจิ้มรสชาติใหม่เพิ่มอีกด้วย
ขณะเดียวกันยังตอกย้ำด้านการสร้าง Value Relationship ด้วยการทำ Segmentation การตลาดที่ศึกษาและแบ่งกลุ่มลูกค้าอย่างละเอียด เพื่อนำข้อมูลเชิงลึกมาวิเคราะห์และวางแผนการตลาดให้ตรงกับความต้องการของแต่ละกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยจะเริ่มจาก Group Member ครั้งแรกกับการเชื่อมต่อทุกแบรนด์ในเครือไว้ในที่เดียว
ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบ CEM (Customer Experience Management) เพื่อให้ตลอด Customer Journey สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดและสิทธิพิเศษที่ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด และแบรนด์ยังรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว โดยได้รับประสบการณ์ที่หลากหลายและคุ้มค่ามากขึ้น ซึ่งคาดว่า Group Member จะพร้อมเปิดตัวภายในไตรมาส 3 ปีนี้
รวมถึงในด้านของ Tourist Adaptation เบื้องต้นก็มีแผนที่จะปรับกลยุทธ์การตลาดและแบรนด์ให้สอดคล้องกับกลุ่มนักท่องเที่ยว เพื่อปรับสินค้าให้เหมาะสม และยังต้องทำความเข้าใจในวัฒนธรรม เพื่อการสื่อสารอย่างตรงจุด และส่วนของ Local Store Marketing ที่ต้องเข้าถึงลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ด้วยการสำรวจพฤติกรรมและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในทำเลนั้น ๆ โดยจะมีการนำข้อมูลมาพัฒนาสินค้า ครีเอตโปรโมชั่น และปรับเมนูให้เข้าถึงมากขึ้น
ขณะเดียวกัน MK Group ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจค้าปลีกอย่างต่อเนื่อง นำโดยผลิตภัณฑ์ที่สร้าง Brand Recall ได้สูง เช่น น้ำจิ้มสุกี้ MK, ชุดสุกี้ลูกชิ้นรวมมิตร, ชุดบะหมี่หยกลูกชิ้น และผลิตภัณฑ์ล่าสุด “บะหมี่เกี๊ยวกุ้งซุปสุกี้ CP x MK” ที่พร้อมเตรียมเปิดตัวน้ำจิ้มรสชาติใหม่ในปีนี้ นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายช่องทางจำหน่ายจากร้านสะดวกซื้อไปสู่ซูเปอร์มาร์เก็ตและไฮเปอร์มาร์เก็ต เพื่อขยายฐานผู้บริโภคให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
ขยายสาขา-ยกระดับระบบหลังบ้านด้วย AI
นายธีร์ ธีระโกเมน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า นอกเหนือจากแผนการพัฒนาสินค้า ในปี 2568 MK Group ยังคงวางแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 15 สาขาในประเทศ แบ่งเป็น MK Restaurants 5 สาขา, Yayoi 3 สาขา, แหลมเจริญ 5 สาขา และ HIKINIKU TO COME 2 สาขา ขณะที่ต่างประเทศมีแผนเปิดแฟรนไชส์แหลมเจริญเพิ่ม 2 สาขาในมาเลเซีย
รวมถึงยังเตรียมเดินหน้าหาพันธมิตร Master Franchise เพื่อช่วยขยายธุรกิจร้านอาหารให้มากขึ้น โดยตลาดที่ยังคงให้ความสนใจคือ South East Asia เป็นหลัก ควบคู่ไปกับการเดินหน้าปรับโมเดลธุรกิจใหม่ โดยจะมี Store Conversion จาก MK Restaurants ปรับเป็นโมเดลรูปแบบบุฟเฟต์แทน (MK Buffet) และ แหลมเจริญ เตรียมปรับโมเดลให้ทันสมัยและเข้าถึงการทานอาหารทะเลได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกัน บริษัทก็ยังให้ความสำคัญกับเรื่องระบบจัดการหลังบ้าน โดยมีแผนเดินหน้ายกระดับระบบหลังบ้าน ด้วยการนำ AI มาช่วยลด Food Waste และควบคุมต้นทุน พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ผ่านบริษัทในเครือ M-SENKO โดยเบื้องต้นมีแผนจะเพิ่มศูนย์กระจายสินค้าในหัวเมืองหลัก เพื่อช่วยประหยัดเวลาในการส่งสินค้าและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนกับคู่แข่ง
รวมถึงยังมีการเพิ่มการให้บริการ Importer นำเข้าวัตถุดิบ และ Forwarding ตัวแทนรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลาย และช่วยลดความซับซ้อนด้านโลจิสติกส์ให้กับผู้ส่งออกและผู้นำเข้าด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ ปัจจุบัน MK GROUP มีร้านอาหารในเครือทั้งหมด 13 แบรนด์ รวม 723 สาขา ทั้งในประเทศและ
แฟรนไชส์ต่างประเทศ คือ MK Restaurants, MK Live, MK Gold, YAYOI, แหลมเจริญ ซีฟู้ด, HIKINIKU TO COME, HAKATA Ramen, MIYAZAKI, เลอ สยาม, ณ สยาม, BIZZY BOX (Grab & Go), LE PETIT, Multi Brand และสาขาแฟรนไชส์ MK Restaurants สาขาประเทศญี่ปุ่น เวียดนาม ลาว, สาขาแฟรนไชส์ แหลมเจริญ ซีฟู้ด สาขาประเทศมาเลเซีย, MIYAZAKI สาขาประเทศลาว