“2 เจ้าสัว” ย้ายสนามรบ ลงทุน “เซเว่นฯ-มินิบิ๊กซี” บุก CLMV

คอลัมน์ จับกระแสตลาด

การขยายตัวของตลาดค้าปลีกในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี ทั้งกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ที่ผ่านมามีการเติบโตแบบก้าวกระโดดและอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงการเป็นตลาดใหม่ แต่ยังรวมถึงการขยายตัวของกำลังซื้อและเศรษฐกิจที่เป็นโอกาสของการเติบโตได้อีกมาก

การเติบโตของตลาดใหม่ดังกล่าวสวนทางกับภาพค้าปลีกเมืองไทยที่ค่อนข้างนิ่งและชะลอตัว ประเมินกันว่าภาพรวมค้าปลีกในครึ่งปีแรกของปี”62 กำลังซื้อของผู้บริโภคยังคงเติบโตต่ำกว่าที่ควรเป็น

แม้ช่วงปีที่ผ่านมาจะมีสัญญาณการฟื้นตัวขึ้นในทุกหมวดสินค้า แต่การชะลอตัวของเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 3-4 ส่งผลให้ GDP ทั้งประเทศตลอดปี 2561 เติบโตราวร้อยละ 4.0-4.2 ขณะที่ภาคค้าปลีกสามารถเติบโตได้เพียงร้อยละ 3.1

สอดคล้องกับมุมมองของสมาคมผู้ค้าปลีกไทยที่มีความกังวลว่าภาคค้าปลีกอาจจะไม่สามารถรักษาระดับการลงทุนเช่นนี้ได้อย่างต่อเนื่อง ถ้าหากการเติบโตด้านยอดขายค้าปลีกยังมีทิศทางทรงตัวอย่างต่อเนื่องเช่นนี้

เช่นเดียวกับภาพการเคลื่อนทัพเข้าไปลงทุนของกลุ่มค้าปลีกรายใหญ่ที่มองเห็นการเติบโตของตลาดใหม่ในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านไทย อย่างลาวและกัมพูชา ที่จะเห็นภาพการลงทุนก่อนใคร

ล่าสุด ร้านสะดวกซื้อเชนยักษ์ 7-11 ที่กลุ่มซีพี ออลล์ได้บริหารในเมืองไทยนั้น ได้สิทธิเปิดในกัมพูชาและลาว รายงานจากบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้ได้รับสิทธิร้านสะดวกซื้อ “เซเว่นอีเลฟเว่น” ในไทย รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บริษัทมีมติอนุมัติให้ดําเนินการเจรจาและตกลงเพื่อการเข้าทําสัญญาแฟรนไชส์หลัก (Master Franchise Agreement) ในการลงทุนจัดตั้งและดําเนินการร้าน 7-Eleven ในประเทศกัมพูชาและประเทศลาว

ทั้งนี้บริษัทได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงเบื้องต้น (Indicative Term Sheet) กับ 7-Eleven, Inc. สําหรับการได้รับสิทธิแฟรนไชส์ในการจัดตั้งและดําเนินการร้าน 7-Eleven ดังกล่าวเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2562

โดยมีกําหนดระยะเวลาของบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นฉบับนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อมีการลงนามในสัญญาแฟรนไชส์หลัก ซึ่งคาดหมายว่าจะเสร็จสิ้นภายในไตรมาส 2/2562

ปัจจุบันร้าน 7-11 ในเมืองไทยเปิดให้บริการแล้วประมาณ 10,000 สาขา (ณ เดือนมกราคม 2561) เฉพาะในกรุงเทพฯมีมากกว่า 500 สาขา รองลงมาคือเชียงใหม่มีมากถึง 200 สาขา และไทยมีสาขาร้านสะดวกซื้อเชนยักษ์นี้มากเป็นอันดับ 2 รองจากญี่ปุ่น ซึ่งยอดขายเฉลี่ยของร้าน 7-11 ประมาณ 65,019 บาทต่อวันต่อสาขา

ด้านค่าย “บีเจซี” กลุ่มธุรกิจค้าปลีกของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของแบรนด์ไฮเปอร์มาร์เก็ตบิ๊กซี และร้านสะดวกซื้อมินิบิ๊กซี ได้จัดทัพลุยตลาดซีแอลเอ็มวีแล้วเช่นกัน

โดยล่าสุดได้นำร่องส่งร้าน “มินิบิ๊กซี” เข้าไปก่อนในรูปแบบของการนำแบรนด์มินิบิ๊กซีเข้าไปสวมแทน “เอ็มพ้อยท์มาร์ท” ร้านสะดวกซื้อในเครือบีเจซีที่ทำตลาดในลาวและวางฐานค้าปลีกมานานแล้วซึ่งร้านสะดวกซื้อ “เอ็มพ้อยท์มาร์ท” จะทยอยเปลี่ยนแบรนด์ทั้งหมดเป็น

“มินิบิ๊กซี” โดยได้เริ่มเปลี่ยนตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และจะทยอยเปลี่ยนให้ครบทั้ง 45 สาขาที่เปิดให้บริการในประเทศลาวให้แล้วเสร็จภายในปีนี้

ทั้งนี้ การเปลี่ยนดังกล่าวจะเป็นการปรับปรุงสาขาของร้านเอ็มพ้อยท์มาร์ทเดิมและเปลี่ยนป้าย เปลี่ยนโฉมใหม่ทั้งหมด ซึ่งได้เปิดตัวมินิบิ๊กซี สาขาแรกนำร่องที่บ้านโพนทัน เมืองไชยเชษฐา นครหลวงเวียงจันทน์ไปแล้ว การลงทุนของกลุ่มค้าปลีกในเมืองไทยดังกล่าวสอดคล้องกับตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศ

ซีแอลเอ็มวี (CLMV) ที่ค่อนข้างสูงและต่อเนื่อง บวกกับปัจจัยในเรื่องของจำนวนประชากร กำลังซื้อ นอกจากนี้ การขยายตัวทางเศรษฐกิจของกัมพูชาในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ที่ตัวเลขเฉลี่ยอยู่ที่ 7.5% ต่อปี และยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อเนื่อง ส่งผลให้กำลังซื้อชาวกัมพูชาปรับตัวดีขึ้น

ตลาดใหม่ อนาคตใหม่ จึงไม่ต้องแปลกใจกับการเคลื่อนทัพของกลุ่มธุรกิจค้าปลีกที่พร้อมย้ายสมรภูมิรบรอบใหม่…ซึ่งไม่ได้มีเพียงกลุ่มทุนเมืองไทยเท่านั้น