กลุ่มเซ็นทรัล ปิดดีลยักษ์ ซื้อกิจการห้างหรู เซลฟริดเจส ในยุโรป

กลุ่มเซ็นทรัล ผนึก ซิกน่า ลงขัน 50/50 ปิดดีลประวัติศาสตร์เข้าซื้อกิจการกลุ่มเซลฟริดเจส คว้าห้างหรูในอังกฤษ เนเธอร์แลนด์ ไอร์แลนด์  18 แห่ง อสังหาริมทรัพย์ 7 แห่ง และดิจิทัลแพลตฟอร์มทั้งหมด ขึ้นแท่นผู้นำธุรกิจห้างสรรพสินค้าลักเซอรี่ระดับโลก

วันที่ 24 ธันวาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มเซ็นทรัล ผู้ดำเนินธุรกิจด้านธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจโรงแรม ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ ร่วมมือกับ ซิกน่า หนึ่งในผู้นำด้านธุรกิจห้างสรรพสินค้าและอสังหาริมทรัพย์ของยุโรป ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายเพื่อเข้าซื้อกิจการของกลุ่มเซลฟริดเจส จากตระกูลเวสตัน ซึ่งประกอบไปด้วยห้างสรรพสินค้ารวมทั้งหมด 18 แห่ง

อาทิ ห้างสรรพสินค้า เซลฟริดเจส (Selfridges) บนถนนออกซ์ฟอร์ด ในกรุงลอนดอน, แมนเชสเตอร์ และเบอร์มิ่งแฮม ประเทศอังกฤษ, ห้างสรรพสินค้าดี แบนคอร์ฟ (de Bijenkorf)  ประเทศเนเธอร์แลนด์, ห้างสรรพสินค้า บราวน์ โทมัส (Brown Thomas) และอาร์นอตส์ (Arnotts) ประเทศไอร์แลนด์ โดยการร่วมทุนครั้งนี้เป็นการลงทุนทั้งในธุรกิจห้างสรรพสินค้า อสังหาริมทรัพย์ และกิจการด้านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซทั้งหมดอีกด้วย

กลุ่มเซลฟริดเจส จะเข้ามาเสริมทัพห้างสรรพสินค้าหรูในประเทศท่องเที่ยวชั้นนำ ที่กลุ่มเซ็นทรัล และซิกน่าดำเนินธุรกิจอยู่ อาทิ รีนาเชนเต ประเทศอิตาลี, อิลลุม ประเทศเดนมาร์ก, โกลบุส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์, กลุ่มคาเดเว ประเทศเยอรมนี และประเทศออสเตรีย หลังจากการรวมธุรกิจใหม่นี้ จะทำให้กลุ่มบริษัทมียอดขายรวมทั้งหมด 5 พันล้านยูโร ในปี 2019 และคาดว่าจะเติบโตถึง 7 พันล้านยูโรในปี 2024 จาก 8 ประเทศ และ 35 เมืองสำคัญในยุโรป

การผนึกกำลังครั้งนี้ จะก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ นวัตกรรม และส่งเสริมความสัมพันธ์ของแบรนด์ชั้นนำในทุกโลเกชั่นทั่วโลกให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาเพื่อมุ่งหน้าสู่การเป็นผู้นำห้างสรรพสินค้าลักเซอรี่ออมนิแชนแนลเต็มรูปแบบระดับโลก

โดยก่อนหน้านี้ “เกเล็น เวสตัน” ได้เข้าซื้อกิจการห้างดังเซลฟริดเจส เมื่อปี 2003 และได้ก่อตั้งกลุ่มเซลฟริดเจสขึ้นในปี 2010 โดยการรวบรวมแบรนด์ห้างสรรพสินค้าชั้นนำไว้ด้วยกัน นำแนวคิดริเริ่มใหม่ ๆ ด้านดีไซน์ ประสบการณ์ลูกค้า การพัฒนาดิจิทัลและออมนิแชนแนลแพลตฟอร์ม ตลอดจนบริการต่าง ๆ โดยนับได้ว่าห้างเซลฟริดเจสได้ชื่อว่าเป็นห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับระดับโลก

สำหรับการลงทุนในกลุ่มเซลฟริดเจสครั้งนี้  จะเป็นการร่วมทุน 50/50  ระหว่างกลุ่มเซ็นทรัลกับซิกน่า โดยในส่วนของกลุ่มเซ็นทรัลนั้น บมจ. เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) มีสิทธิพิจารณาเข้าลงทุน ในส่วนธุรกิจห้างสรรพสินค้า ที่ไม่รวมอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งคณะผู้บริหารและกรรมการบริษัท CRC จะดำเนินการศึกษา พิจารณาความเหมาะสมและผลตอบแทนการลงทุนอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจว่าจะลงทุนหรือไม่ อย่างไรก็ดี กลุ่มเซ็นทรัลมีความพร้อมที่จะเดินหน้าต่อไปในการลงทุนทั้งหมด

นายทศ จิราธิวัฒน์  ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มเซ็นทรัล เปิดเผยว่า กลุ่มเซ็นทรัลรู้สึกตื่นเต้น ยินดี และเป็นเกียรติ ที่ได้มีโอกาสลงทุนในกลุ่มเซลฟริดเจสในครั้งนี้ ซึ่งรวมไปถึงที่ดินและอาคารห้างเซลฟริดเจสบนถนนออกซ์ฟอร์ด ซึ่งตั้งอยู่ในจุดศูนย์กลางบนถนนช็อปปิ้ง ณ กรุงลอนดอน มากว่า 100 ปี

ด้วยความที่กลุ่มเซ็นทรัลและซิกน่าเป็นธุรกิจครอบครัว เราจึงมุ่งเน้นการลงทุนเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมและแตกต่าง ทั้งภายในห้างและช่องทางดิจิทัลต่างๆ สำหรับลูกค้าทั้งที่อยู่ในประเทศและนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ เพื่อส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปของกลุ่มเซลฟริดเจส ในอีก 100 ปีข้างหน้า พวกเราพร้อมที่จะทำงานกับผู้บริหารและเพื่อนพนักงานของกลุ่มเซลฟริดเจส เพื่อมุ่งมั่นสู่การเป็นบริษัทรีเทลชั้นนำเป็นเลิศระดับโลก”

ทศ จิราธิวัฒน์
ทศ จิราธิวัฒน์

ด้านนายดีเทอร์ เบอร์นิงเฮาส์  ประธานและคณะกรรมการบริหารของกลุ่มซิกน่า  กล่าวว่า   “เรารู้สึกยินดีที่ได้มีโอกาสร่วมกับกลุ่มเซ็นทรัลในการเข้าซื้อกิจการกลุ่มเซลฟริดเจสในครั้งนี้ เราได้วางแผนที่จะทำงานกับนักออกแบบชั้นนำของโลกในการปรับโฉมของห้าง โดยคำนึงถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมการรักษาไว้ซึ่งสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมดั้งเดิม เติมเต็มวิสัยทัศน์ของ เกเล็น เวสตัน (Galen Weston) ในการสร้างประสบการณ์รีเทลชั้นนำเพื่อลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจของเรา”

ขณะที่ “อลานา เวสตัน”  ประธานของกลุ่มเซลฟริดเจส กล่าวว่า “การเข้าซื้อกิจการของห้างเซลฟริดเจสโดยกลุ่มเซ็นทรัลและซิกน่าเป็นสิ่งการันตีถึงความสำเร็จของคุณพ่อ (Galen Weston) ที่มีความตั้งใจในการมุ่งมั่นที่จะทำให้ห้างสรรพสินค้าในกลุ่มเป็นห้างสรรพสินค้าที่สวยและครบครันที่สุด ความคิดสร้างสรรค์เป็นหัวใจของการทำธุรกิจในทุกด้านมาอย่างยาวนาน พร้อมการเติบโตอย่างยั่งยืน พวกเราภูมิใจที่ได้ส่งต่อไปยังเจ้าของใหม่ซึ่งมีรากฐานจากธุรกิจครอบครัวที่มีความตั้งใจในการดำเนินธุรกิจในระยะยาว และพร้อมเป็นพลังขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็งต่อไป”

ด้าน “สเตฟาโน่ เดลลา วาลเล่” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มเซ็นทรัล ยุโรป กล่าวว่า “กลุ่มเซลฟริดเจสเป็นกิจการที่สองที่เราเข้าซื้อในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 เป็นเครื่องยืนยันถึงความเชื่อมั่นในทั้งธุรกิจค้าปลีกในใจกลางเมืองและอนาคตของห้างสรรพสินค้าซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนเมือง กลุ่มเซ็นทรัลเชื่อมั่นว่าเมื่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายลง ชีวิตที่เป็นปกติและการสังสรรค์ต่าง ๆ จะกลับมา กลุ่มเซลฟริดเจสจะเข้ามาเติมเต็มธุรกิจห้างสรรพสินค้าและออมนิแชนแนลของกลุ่มเซ็นทรัล และทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง”

“แอนน์ พิชเชอร์” กรรมการผู้จัดการของกลุ่มเซลฟริดเจส กล่าวว่า “เรามีความภาคภูมิใจที่พวกเราได้สร้างกลุ่มเซลฟริดเจสให้เป็นธุรกิจห้างชั้นนำแห่งหนึ่งของโลกที่ทันสมัย แปลกใหม่ พร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน มีความสัมพันธ์กับคู่ค้าที่แน่นแฟ้นดีเยี่ยม และมีการลงทุนด้านดิจิทัลที่ครบครัน ตลอดเวลากว่า 2 ทศวรรษ ที่ตระกูลเวสตัน (Weston) เป็นเจ้าของกิจการ โดยทั้งหมดจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากปราศจากทีมงานที่ดีที่ช่วยสร้างและพัฒนาธุรกิจมาร่วมกันกับเรา

กลุ่มเซลฟริดเจสยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมทำงานกับห้างดังในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นรีนาเชนเตประเทศอิตาลี, อิลลุม ประเทศเดนมาร์ก, โกลบุส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์, คาเดเว ประเทศเยอรมนี และประเทศออสเตรีย ถือว่าเป็นโอกาสอันดีในการผนึกกำลังและตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านรีเทลระดับโลกของธุรกิจเรา”

โดยการเข้าซื้อกิจการกลุ่มเซลฟริดเจสในครั้งนี้ คาดว่าจะเสร็จสิ้นภายหลังจากที่ได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง และเมื่อทุกฝ่ายได้บรรลุเงื่อนไขตามที่ระบุไว้ในสัญญา

ทางด้านนายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ว่า ตามที่ปรากฏข่าวเรื่อง Central Group และ Signa Holding เข้าลงนามในสัญญาซื้อกิจการ Selfridges Group ผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าในประเทศอังกฤษ เนเธอร์แลนด์ และไอร์แลนด์ โดยในส่วนของ Central Group บริษัท ห้างเซ็นทรัล ดีพาทเมนท์สโตร์ จำกัด (HCDS) ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้เข้าลงนามในสัญญานั้น

โดยบริษัทได้รับแจ้งจาก HCDS ถึงโอกาสการลงทุนในธุรกิจห้างสรรพสินค้าใน Selfridges Group นี้ตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในข้อตกลงที่ HCDS ให้ไว้ใน Flagship Company Letter of Undertakings ระหว่างบริษัท กับ HCDS (Flagship Undertaking Letter) ที่ได้เปิดเผยไว้ในหนังสือชี้ชวนเสนอขายหุ้นสามัญเป็นครั้งแรกของบริษัท