โอมิครอนฉุดดัชนีค้าปลีกซึมยาว จี้รัฐเร่งกระตุ้นฟื้นเศรษฐกิจ

ค้าปลีก-ห้างฯ

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย เผยโอมิครอนฉุดดัชนีเชื่อมั่นค้าปลีกซึมยาวช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา แนะรัฐเร่งเปิดมาตรการอัดฉีดเงินหมุนเวียนในระบบ กระตุ้นเศรษฐกิจปี 65

วันที่ 10 มกราคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาคมผู้ค้าปลีกไทยร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย เผยผลสำรวจความเชื่อมั่น (Retail Sentiment Index) ของผู้ประกอบการค้าปลีกประจำเดือนธันวาคม 2564 ปรับเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย การจับจ่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่ปลายปีคึกคักแต่ไม่เป็นไปตามคาด โดยมียอดซื้อต่อบิลเพิ่มขึ้นเล็กน้อยและเกิดจากราคาสินค้าที่ปรับขึ้น

ขณะที่ผู้ประกอบการยังมีความกังวลต่อจำนวนผู้ติดเชื้อโอมิครอนที่เพิ่มมากขึ้น และมาตรการของภาครัฐที่ไม่ชัดเจนในการควบคุมการแพร่ระบาดของ โอมิครอน

นายฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ รองประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ผลการสำรวจรอบนี้ของเรา ต้องยอมรับว่า ไม่สดใสเท่าที่ควร เนื่องจากการแพร่ของโอมิครอนเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น และเกรงว่าภาครัฐจะกลับมาประกาศมาตรการการควบคุมอย่างเข้มงวดอีกครั้ง แม้จะมีการเพิ่มขึ้นของยอดขายสาขาเดิม Same Store Sale Growth (SSSG) แต่ก็เกิดจากความถี่ในการจับจ่าย  ที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลปีใหม่ และยอดซื้อต่อบิล  เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากราคาสินค้าที่ปรับขึ้นเป็นหลัก ไม่ใช่เกิดจากกำลังซื้อที่แท้จริง สะท้อนว่ายังต้องการแรงกระตุ้นจากมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสริมเรื่องการยกเลิกกิจกรรมข้ามปีของบางพื้นที่  ที่ส่งผลให้การจับจ่ายปลายปีต้องชะงัก โดยมีข้อสรุปของดัชนีความเชื่อมั่นในประเด็นที่สำคัญ ดังต่อไปนี้

1.ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก เดือนธันวาคมอยู่ที่ 68.4 ปรับเพิ่มขึ้นเพียง 6 จุด เมื่อเทียบกับดัชนีเดือนพฤศจิกายนที่ 62.1 สะท้อนถึงมู้ดของการจับจ่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่ปลายปีนี้ไม่คึกคักเท่าที่ควร ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ค้าปลีก RSI ในอีก 3 เดือนข้างหน้าปรับลดลง 4 จุดจากระดับ 69.7 ในเดือนพฤศจิกายน มาที่ 65.1 เดือนธันวาคม

2.ดัชนีความเชื่อมั่น RSI แยกตามภูมิภาค ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการต่อยอดขายเดิมเดือนธันวาคมเพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาคเมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน จากมาตรการผ่อนปรนความเข้มงวดและประชาชนเริ่มท่องเที่ยวในประเทศ มากขึ้น

3.ดัชนีความเชื่อมั่น RSI แยกตามประเภทร้านค้าปลีก พบว่า เพิ่มขึ้นทุกประเภทร้านค้า ยกเว้นร้านค้าประเภทห้างสรรพสินค้า จากบรรยากาศการจับจ่ายช้อปปิ้ง ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหมาย เนื่องจากผู้บริโภครอความหวังจากโครงการ “ช้อปดีมีคืน” ที่ควรเกิดในปลายปี 2564 แต่เลื่อนเป็นต้นปี 2565 แทน

ทั้งนี้ ยังมีบทสรุปประเด็นสำคัญของ “การประเมินกำลังซื้อและแนวโน้มการแพร่ระบาดไวรัสสายพันธุ์ โอมิครอนจากมุมมองผู้ประกอบการ” ในเดือนธันวาคม ที่สำรวจระหว่างวันที่   17-24 ธันวาคม 2564 ดังนี้

1.ยอดขายเพิ่มขึ้นตลอดปีที่ผ่านมา โดยมาจากอันดับ 1 มาตรการการกระตุ้นการจับจ่ายภาครัฐ, 2การจัดโปรโมชั่นของร้านค้า, 3การขายผ่านออนไลน์

2.ความกังวลต่อการแพร่ระบาดโอมิครอนอันดับ 1 กังวลต่อกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัว,2 ลูกค้างดการทำกิจกรรมนอกบ้าน, 3 กังวลต่อมาตรการที่อาจต้องล็อกดาวน์

3.แผนการรองรับหากมีการแพร่ระบาดของโอมิครอน พบว่า 63% ขายผ่านออนไลน์เพิ่มขึ้น,40% ลดค่าใช้จ่าย ลดการจ้างงาน,30% ดำเนินธุรกิจตามปกติ เว้นแต่ภาครัฐสั่งให้ปิด

4.ความช่วยเหลือจากภาครัฐ ได้แก่ 58% เพิ่มการลดหย่อนภาษีและลดภาระค่าใช้จ่าย,55% เพิ่มมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและต่อเนื่อง,43% ช่วยจ่ายค่าจ้างแรงงาน

นอกจากนี้ยังย้ำ 4 ข้อเสนอต่อภาครัฐ เพื่อป้องกันระยะยะยาว

1.ยกระดับความพร้อมของระบบสาธารณสุข

2.มีมาตรการเชิงรุกสำหรับพื้นที่ที่มีความเสี่ยง หากมีการระบาดในแต่ละพื้นที่ รัฐควรมีการปิดเฉพาะพื้นที่ที่เป็นคลัสเตอร์เท่านั้น

3.ช่วยภาคเอกชนและประชาชนลดค่าใช้จ่าย โดยช่วยลดค่าน้ำ ค่าไฟ ลดเงินสมทบประกันสังคม ภาษีป้าย การเงินต่างๆ เป็นต้น

4.ผลักดันโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เพื่ออัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบอย่างต่อเนื่อง  อาทิ ช้อปดีมีคืน ควรทำเพิ่มขึ้นมากกว่า 1 ครั้งต่อปี

“จะเห็นได้ว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคยังไม่ฟื้นตัวมากนัก การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่องของภาครัฐถือเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคธุรกิจไทยได้อีกครั้ง นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มการจ้างงาน และสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบค้าปลีกและบริการได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเราไม่สามารถที่จะกลับไปอยู่ในภาวะวิกฤตเหมือนในปี 2564 ที่ทุกอย่างหยุดชะงัก เพราะฉะนั้นการลดการแพร่ระบาดของโอมิครอนให้กระจายอยู่เพียงในวงจำกัด และกระทบต่อเศรษฐกิจที่กำลังขยับตัวดีขึ้นให้น้อยที่สุด จึงเป็นทางออกเดียวของเราทุกคน” นายฉัตรชัย กล่าวทิ้งท้าย

จับสัญญาณ “หุ้นค้าปลีก” ฟื้น กำไรเฉียด 5 หมื่นล้าน-CRC พลิกบวก