ไข้เลือดออกปี’65 ส่อระบาดหนัก กรมควบคุมโรคแนะประชาชนสังเกตอาการ

ภาพ : pixabay

ไข้เลือดออกปี’65 ฉายแววระบาดหนัก พบเสียชีวิต 2 ราย กรมควบคุมโรคเตือนประชาชนสังเกตอาการ พบไข้สูงหลายวัน แนะใช้ยาพาราเซตามอล เลี่ยงยากลุ่ม NSAIDs หวั่นทำเลือดออกในช่องท้องได้ อาการไม่ดีขึ้นพบแพทย์ด่วน

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ปัจจุบันนอกจากการเฝ้าระวังโรคโควิดแล้ว ควรต้องระวังโรคไข้เลือดออกด้วย

โดยการคาดการณ์โรคไข้เลือดออกในปี 2565 นี้ คาดว่าจะกลับมาระบาดอีกครั้งหลังจากที่เงียบหายไป 2 ปี ในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากประชาชนอยู่บ้านไม่ได้มีกิจกรรมรวมตัวกัน

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์

ทว่า การกลับมาระบาดของโรคไข้เลือดออกในปีนี้ เกิดจากปัจจัยภูมิคุ้มกันหมู่ของประชาชนเริ่มต่ำลง โดยที่ภูมิต้านทานชั่วคราวที่เกิดจากการระบาดใหญ่ครั้งก่อนในประชาชนลดลง

ทั้งนี้ สัญญาณเตือนที่สำคัญ คือ ในเดือนมกราคมที่ผ่านมามีผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเสียชีวิตแล้ว 2 ราย

จุดสังเกตคือ ผู้ป่วยที่เสียชีวิตทั้งสองรายเป็นผู้ใหญ่อายุ 37 ปี และ 40 ปี เนื่องจากระยะแรกของอาการไข้ในผู้ใหญ่มักไม่ค่อยนึกถึงโรคนี้ คนป่วยซึ่งอยู่ในวัยทำงานมักไปรับการรักษาที่คลินิกหรือซื้อยามากินเอง และเมื่ออาการไม่เด่นชัดว่าเป็นไข้จากโรคอะไร มักได้รับยาที่ช่วยลดไข้ได้เร็ว ได้แก่ ยากลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs) ซึ่งมีผลในการทำให้เลือดออกในทางเดินอาหาร

โดยเฉพาะยาไอบูโพรเฟน แอสไพริน หรือไดโคลฟีแน็ก ยิ่งจะทำให้เลือดออกรุนแรงและเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ ซึ่งการใช้ยาลดไข้ ขอให้ใช้ยาพาราเซตามอลเป็นหลัก

สถานการณ์โรคไข้เลือดออกตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-2 กุมภาพันธ์ 2565 พบผู้ป่วย 193 ราย พบมากที่สุดในภาคกลาง รองลงมาภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ตามลำดับ

ส่วนจังหวัดที่พบผู้ป่วยจำนวนมากที่สุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และนครปฐม สำหรับกลุ่มอายุที่พบ (ป่วยสูงสุดคือ อายุ 5-14 ปี จำนวน 61 ราย รองลงมาคือ อายุ 15-24 ปี จำนวน 48 ราย ผู้เสียชีวิตมีทั้งหมด 2 ราย เป็นผู้ใหญ่ทั้ง 2 ราย)

สำหรับลักษณะอาการของโรคไข้เลือดออก คือ มีไข้สูงอย่างเฉียบพลัน และไข้จะสูงตลอดทั้งวันประมาณ 2-7 วัน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ส่วนใหญ่มีอาการหน้าแดง อาจมีจุดแดงเล็ก ๆ ขึ้นตามลำตัว แขน ขา ไม่ไอ ไม่มีน้ำมูก มักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องและเบื่ออาหาร ต่อมาไข้จะลดลง

ในระยะนี้ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะอาจเกิดอาการรุนแรง อาจมีภาวะช็อกและเสียชีวิตได้ ขอให้ประชาชนสังเกตอาการป่วยของคนในครอบครัว

หากมีไข้สูงลอยเกิน 2 วัน และเช็ดตัวหรือกินยาลดไข้แล้วไข้ไม่ลดลง ขอให้คิดว่าอาจป่วยด้วยโรคไข้เลือดออก ให้รีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์หรือสถานบริการสาธารณสุขที่อยู่ใกล้บ้าน เพื่อให้ได้รับการดูแลที่ถูกต้องและรวดเร็ว หรือหากพบผู้ป่วยสงสัย ก็ให้รีบพาไปพบแพทย์เช่นเดียวกัน เพื่อประเมินอาการและเก็บตัวอย่างเลือดส่งตรวจ โดยสามารถตรวจด้วยชุดตรวจแบบรวดเร็ว NS1 และแอนติบอดี (antigen-antibody test kit) ก็จะคัดกรองโรคไข้เลือดออกในเบื้องต้นได้เช่นกัน

ทั้งนี้ ขอให้ทุกบ้านกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายทุกสัปดาห์ ซึ่งเป็นวิธีการป้องกันโรคที่ได้ผลดีที่สุดด้วยหลักการ 3 เก็บ เพื่อไม่ให้ยุงลายวางไข่ ดังนี้

1.เก็บกวาดบ้านให้ปลอดโปร่ง ไม่มีบริเวณอับทึบให้ยุงลายเกาะพัก

2.เก็บขยะ เศษภาชนะทุกชนิดบริเวณรอบบ้าน ทิ้งในถุงดำ มัดปิดปากถุงแล้วนำไปทิ้งในถังขยะเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งขังน้ำให้ยุงวางไข่เพาะพันธุ์ได้

3.เก็บน้ำ ปิดฝาภาชนะใส่น้ำกินน้ำใช้ให้มิดชิด ล้างคว่ำภาชนะที่ไม่ใช้ และเปลี่ยนน้ำในภาชนะเล็ก ๆ เช่น ถ้วยรองขาตู้ หรือแจกันทุกสัปดาห์ ใส่ทรายกำจัดลูกน้ำหรือปล่อยปลากินลูกน้ำในภาชนะที่ปิดฝาไม่ได้ เช่น อ่างเลี้ยงไม้น้ำ เป็นต้น