CPN กางแผน 5 ปี ทุ่ม 1.2 แสนล้าน เดินหน้าลงทุนไทย-อาเซียนโตดับเบิลดิจิต

ซีพีเอ็นกางแผนลงทุน 5 ปี รับกำลังซื้อฟื้น ทุ่มกว่า 1.2 แสนล้านบาท เดินหน้าลงทุนไทย-อาเซียน ชู 3 กลยุทธ์หลักสร้างการเติบโต ทั้งผนึกกำลังทุกฝ่าย-สร้างมาตรฐานใหม่ของพื้นที่แห่งการใช้ชีวิต-ขับเคลื่อนสังคมและธุรกิจ ลุยผุดอสังหาริมทรัพย์ มิกซ์ยูส ศูนย์การค้า โรงแรม พร้อมเล็งต่อยอดธุรกิจในมาเลเซีย-เวียดนามต่อเนื่อง หวังปั้นรายได้สิ้นปีโตไม่ต่ำกว่าสองหลัก

นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น เปิดเผยว่า เพื่อให้สอดรับกับบทบาทการเป็น place maker นักพัฒนาที่ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนทุกแห่ง สร้างพื้นที่ที่จะเป็นอนาคตที่ดีให้กับทุกคนของซีพีเอ็น ล่าสุดได้ประกาศแผนธุรกิจ 5 ปี (2565-2569) ด้วยการทุ่มงบฯกว่า 120,000 ล้านบาท ชู 3 กลยุทธ์หลักผลักดันการเติบโตในระยะยาว

ได้แก่ กลยุทธ์ 1.SYNERGY for new solutions ผนึกกำลังทุกฝ่าย สร้างแพลตฟอร์มยกระดับการใช้ชีวิตและธุรกิจอย่างครบวงจร โดยผนึกทุกองค์ประกอบ ทั้งศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และโรงแรม

โดยในอีก 5 ปี บริษัทจะมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ อยู่ในมากกว่า 30 จังหวัด และจะทำให้จำนวนโครงการทั้งหมด (รวมปัจจุบันและอนาคต) ได้แก่ ศูนย์การค้า 50 แห่ง ทั้งในและต่างประเทศ และคอมมิวนิตี้มอลล์ 16 แห่ง (อยู่ระหว่างการศึกษาการขยายโครงการ),

โครงการที่พักอาศัย 68 แห่ง, อาคารสำนักงาน 13 แห่ง และโรงแรม 37 แห่ง โดยมากกว่า 50% ของโครงการทั้งหมดจะเป็นรูปแบบมิกซ์ยูสที่มีมากกว่า 1 ธุรกิจ และมีศูนย์การค้าเป็นหัวใจสำคัญ โดยเร่งขยายการเติบโตของทุก ๆ ธุรกิจพร้อมกันไปอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ยังได้ตั้งทีม business & digital transformation ลงทุน 450 ล้านบาท ทรานส์ฟอร์มและสร้างแพลตฟอร์มต่าง ๆ อีกทั้งตั้งทีมธุรกิจกับคู่ค้า แพลตฟอร์มยกระดับเอสเอ็มอี อุตสาหกรรมท่องเที่ยว จัดพื้นที่การขายและลูกค้าไม่ต่ำกว่า 40,000 ตร.ม. หรือมูลค่ากว่า 300 ล้านบาทต่อปี

กลยุทธ์ 2.PIONEER for better lives สร้างมาตรฐานใหม่ของพื้นที่แห่งการใช้ชีวิตที่ดีในอนาคต ต่อไปนี้ภายในทุกโครงการใหม่ของเซ็นทรัลพัฒนาจะมีการบริหารจัดการที่ใส่ใจหัวใจสำคัญ 2 ด้าน

เพื่อการใช้ชีวิตของทุกคนอย่างยั่งยืน ได้แก่ มาตรฐานอาคารเขียวระดับสากล, ติดตั้งเซลล์ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ในทุกโครงการ, พัฒนาอาคารอัจฉริยะ สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดและแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นต้น

และกลยุทธ์ที่ 3.OPPORTUNITIES with purpose ขับเคลื่อนสังคมและธุรกิจ เปิดโอกาสให้ทุกคน เป็นองค์กรแห่งการสร้างโอกาส พัฒนาคน พัฒนาเมือง พัฒนาประเทศ และยกระดับวงการอสังหาฯและรีเทลไทย เทียบเท่าระดับโลก

พร้อมกันนี้ ตั้งเป้าเป็นองค์กร mixed-use developer รายแรกสู่ net zero ภายในปี 2572 ด้วยแผนระยะยาวตั้งเป็น net zero carbon emission ให้ได้ผ่านการลดการใช้พลังงานให้ได้ 50% ลดการใช้ CFC

และสารที่ทำลายชั้นบรรยากาศ และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดหรือ clean energy ให้ได้อีก 50% นอกจากนี้ยังตั้งเป้าปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวทั้งภายในและภายนอกโครงการให้ได้ถึง 1 ล้านต้น

สำหรับทิศทางการลงทุนในประเทศในปีนี้ ยังคงเดินหน้าลงทุนเปิดโครงการใหม่ตามแผนที่วางไว้ ปีนี้มีกำหนดเปิดโครงการใหม่ เซ็นทรัล จันทบุรี ภายในไตรมาส 2/2565 และการปรับปรุงพลิกโฉมศูนย์การค้าเดิม อาทิ เซ็นทรัลเวิลด์ เซ็นทรัล พระราม 2 และเซ็นทรัล รามอินทรา เป็นต้น

ควบคู่กับการเดินหน้าพัฒนาโครงการต่าง ๆ อาทิ อาคารสำนักงาน โรงแรม และที่พักอาศัย นอกจากนี้ ยังมีโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่ร่วมพัฒนากับบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะทยอยเปิดให้บริการในปี 2567 เป็นต้นไปอีกด้วย

“เป้าหมายการเติบโตในปี 2565 นี้ แม้สถานการณ์โดยรวมจะยังคงได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่สิ้นสุด แต่จากการที่ไม่มีมาตรการล็อกดาวน์เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญในการฉุดกำลังซื้อของปีนี้

ทำให้คาดการณ์ว่าในสิ้นปีนี้ซีพีเอ็นจะสามารถสร้างการเติบโตได้เป็นตัวเลข 2 หลัก หรือไม่ต่ำกว่า 10% ส่วนของแผนระยะยาว 5 ปีนั้นจะเป็นการเพิ่มสัดส่วนสาขาธุรกิจอื่น ๆ ทั้งโรงแรม อสังหาริมทรัพย์ในพอร์ตมากขึ้นจากอดีตที่มีรายได้จากธุรกิจรีเทลกว่า 80% ก็จะลดเหลือราว 70% ซึ่งไม่ใช่รายได้ของธุรกิจรีเทลที่ลดลง แต่เป็นการเพิ่มขึ้นของสัดส่วนธุรกิจอื่น ๆ ในเครือ ไม่ว่าจะเป็นมิกซ์ยูสหรืออื่น ๆ”

นางสาววัลยากล่าวว่า ส่วนการเดินหน้าลงทุนในต่างประเทศอย่างมาเลเซียและเวียดนามนั้น เบื้องต้นบริษัทจะยังคงมองหาโอกาสในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทมีโครงการเซ็นทรัล ไอซิตี้ ที่ประเทศมาเลเซีย

ซึ่งผลประกอบการในปีนี้เป็นที่น่าพอใจ แม้จะมีสถานการณ์การระบาดของโควิดเข้ามากระทบตั้งแต่เปิดตัว ส่วนในเวียดนามมีโครงการที่ศึกษาอยู่ราว 2-3 โครงการที่กำลังรอพิจารณา ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ก็มองภูมิภาคอาเซียนเป็นหลัก และหากมีโอกาสเมื่อไหร่และพร้อมก็จะเดินหน้าลงทุนทันที