กรมวิทย์ เผยโควิด BA.4-BA.5 น่าจะรุนแรงกว่า BA.2 ขอเก็บตัวอย่างเพิ่ม

กรมวิทย์ เผยข้อมูลเบื้องต้นในไทย BA.4-BA.5 รุนแรงกว่า BA.2  แต่ยังสรุปไม่ชัด ขอ รพ.ส่งตัวอย่างจากผู้ป่วยหนัก-เสียชีวิตเพิ่ม ขณะที่ กทม. มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น  72% ส่วนต่างจังหวัด 34%

วันที่ 11 กรกฏาคม 2565  นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงข่าวเฝ้าระวังโอมิครอนสายพันธุ์ BA.4/BA.5 ว่า  จากการเฝ้าระวังโอมิครอนสายพันธุ์ต่าง ๆ ช่วงวันที่ 2-8 ก.ค. 2565 ตรวจกลุ่มตัวอย่าง 570 ราย พบเป็น BA.1 จำนวน 5 ราย ตามด้วย BA.2 จำนวน 283 ราย และสายพันธุ์ย่อย BA.4 และBA.5 รวมกัน 280 ราย  ซึ่งมีไม่ชัดเจนอยู่ 2 ราย

หากแยกกลุ่มที่เดินทางมาจากต่างประเทศพบว่า ส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์  BA.4 และ BA.5 ถึง 78.4%  ส่วนการติดเชื้อในประเทศแบ่งออกเป็นพื้นที่กรุงเทพมหานคร และภูมิภาค ข้อมูลจนถึงเดือน พ.ค. 2565 พบว่า ใน 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา กรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ที่พบ BA.4 และ BA.5 มากสุด

ขณะเดียวกัน กรุงเทพฯ เริ่มพบสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จาก 12.7%  ขึ้นเป็น  72.3%  ส่วนภูมิภาค 34.7% ดังนั้น สายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 จะเริ่มแซงสายพันธุ์ BA.2 และ BA.1 แต่ไม่ได้แซงเร็วมากนัก

ทั้งนี้ สำหรับสัดส่วนสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 พบทั้ง 13 เขตสุขภาพ ยกเว้นเขต 3 พบจำนวนน้อย  เนื่องจากส่งตัวอย่างแค่หลักสิบ จึงจำเป็นต้องมีการส่งตัวอย่างเพิ่ม  ส่วนเขตสุขภาพที่พบมากสุด คือ เขต 13 พื้นที่กรุงเทพฯ

นพ.ศุภกิจกล่าวว่า ส่วนเรื่องความรุนแรงของ BA.4 และ BA.5 ได้มีการสุ่มตรวจสายพันธุ์ในกลุ่มตัวอย่าง แบ่งเป็นคนมีอาการรุนแรง และอาการไม่รุนแรง โดยพื้นที่กรุงเทพมหานคร พบว่า คนที่อาการไม่รุนแรงพบ BA.4 BA.5 อยู่ประมาณ 72% ส่วนคนที่อาการรุนแรง ปอดอักเสบจนต้องเข้าโรงพยาบาล หรือใส่ท่อช่วยหายใจ

รวมทั้งรุนแรงจนเสียชีวิต มีข้อมูล 13 ราย พบเป็น BA.4 และ BA.5 อยู่ 77% ส่วนพื้นที่ภูมิภาค คนที่อาการไม่รุนแรงมี 309 ราย พบ BA.4 และ BA.5 อยู่ 33%  ส่วนคนที่อาการรุนแรง 45 รายพบสัดส่วน BA.4 และ BA.5 อยู่ที่ 46.67%

สรุปได้ว่า ข้อมูลดังกล่าวพบว่า BA.4 และ BA.5 สัดส่วนอาการรุนแรงมากกว่าอาการไม่รุนแรง โดยยังสรุปความรุนแรงชัดเจนไม่ได้ เนื่องจากตัวเลขยังน้อยอยู่ จึงขอความร่วมมือ รพ.สังกัดมหาวิทยาลัย สังกัด กทม. ฯลฯ ขอให้มีการเก็บตัวอย่างคนปอดอักเสบจนนอนโรงพยาบาล หรือใส่ท่อช่วยหายใจ รวมทั้งผู้เสียชีวิต ขอให้ส่งตรวจเพิ่มขึ้น เพื่อให้ข้อมูลชัดเจนมากขึ้น

นพ.ศุภกิจกล่าวต่อว่า องค์การอนามัยโลกได้ติดตามข้อมูลเป็นสัปดาห์ ๆ พบว่า  BA.5 เพิ่มขึ้นจากที่เคยตรวจ 37% ใน 83 ประเทศ เป็น 52% ส่วน BA.4 จาก 11% เป็น 12% หมายความว่า  BA.4 และ BA.5 อาจแพร่เร็วไม่เท่ากัน แต่ BA.5 แพร่เร็วขึ้นแน่นอน แต่ BA.4 ยังทรง ๆ ส่วน BA.1 และ BA.2 ลดลง

ส่วนเรื่องความรุนแรง องค์การอนามัยไม่ได้ให้น้ำหนักมาก บอกเพียงว่า ความรุนแรงไม่ได้แตกต่างมากนัก แต่พบว่าแพร่เร็วกว่าแน่ ส่วนมีผลต่อการหลบภูมิคุ้มกันหรือไม่ พบว่าลดลง

สำหรับงานวิจัยญี่ปุ่น ซึ่งเป็นข้อมูลห้องทดลองพบว่า การกลายพันธุ์มีผลต่อการเพิ่มจำนวนไวรัส  และดื้อต่อภูมิคุ้มกันที่เกิดจาก BA.1 และ BA. 2 คือ ใครที่ติดเชื้อมาก่อน ติดซ้ำ BA.4/BA.5 ได้  ในเซลล์ปอดมนุษย์พบว่า แพร่ได้เร็วกว่า BA.2  และในหนูแฮมสเตอร์พบว่า กลุ่มติดเชื้อ BA.4 /BA.5 มีอาการหนักกว่า BA.2 อันนี้คือข้อมูลเอกสารวิจัยรอตีพิมพ์ของญี่ปุ่น

ดังนั้น จากข้อมูลทั้งหมดมีแนวโน้ม BA.4/BA.5 มากขึ้น และมีมากในกรุงเทพมหานคร ส่วนความรุนแรงมีแนวโน้มว่า พบมากใน BA.4/BA.5  แต่ตัวเลขยังน้อยอยู่