กฤษณะกร เศวตนันทน์ นิวนอร์มอล สไตล์ “ออดี้”

ในยุคที่ทุกคนต่างต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดบนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้ได้นั้น แม้ว่าสถานการณ์จะเริ่มคลี่คลาย แต่สำหรับค่ายรถยนต์อย่างออดี้ การ์ดไม่เคยตก

วันนี้ “กฤษณะกร เศวตนันทน์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อาวดี้ ประเทศไทยได้เปิดโอกาสให้ “ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์ถึงการตั้งรับ และการขยับไปข้างหน้าของแบรนด์ออดี้ในประเทศไทย ที่ยึดแนวทางว่า เมื่อล้มแล้วต้องลุก และเมื่อลุกแล้ว ต้องขยับไปให้เร็ว แผนธุรกิจ หรือแผน “จัมพ์สตาร์ต” ถึงได้ถูกนำมาใช้ก่อนกำหนดแบบไม่ทันรู้ตัว

นิวนอร์มอลอุตฯยานยนต์

ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่เราต้องเริ่มเผชิญกับสถานการณ์โควิดนั้น เหมือนกับการเดินของเรามาอยู่ดี ๆ แล้วถูกกระชากขาให้ล้ม ซึ่งทุกคนล้มเหมือนกันหมด

เมื่อล้มแล้ว เราจะทำอย่างไรเพื่อให้เราอยู่รอด เมื่อล้มแล้วจะลุกได้เร็วแค่ไหน พลิกฟื้นตัวเองได้เร็วแค่ไหน เป็นเรื่องท้าทาย

ซึ่ง “กฤษฎา ล่ำซำ” ประธานบริหารได้ให้แนวทางว่า จะต้องเร็วเลย สิ่งสำคัญคือการปรับตัวให้เร็ว ล้มแล้ว เจ็บแล้วไม่เป็นไร แต่ต้องลุกกลับมาสู่ภาวะปกติให้เร็ว แล้วเดินหน้าต่อ นี่คือแนวทางของเราเอง

เราเห็นภาพเลย หลังจากเราเปิดโชว์รูมเตรียมออกงานอีเวนต์ต่าง ๆ ทุกอย่างหยุดหมดจะทำอย่างไร ออดี้พลิกกลับมาโฟกัสที่ออนไลน์ ซึ่งเป็นนโยบายของบริษัทที่บอกว่า ภายในปีนี้เราจะเริ่มแล้ว แต่สุดท้ายเราถูกสถานการณ์บีบให้เริ่มเร็วกว่ากำหนด เราโหมออนไลน์มาร์เก็ตติ้งทันที ต้องบอกว่ามันเป็นทั้งนิวนอร์มอล และนิวแอ็บนอร์มอล ทุกวันนี้เราไม่ได้ใช้สื่อต่าง ๆ ข้างนอกเลย ที่เราเคยสื่อทุกอย่างหยุด ปรับทั้งหมด เพราะทุกคนกลับมาดูมือถือ ดูไอแพด คือช่องทางที่ดีที่สุด และสุดท้ายเมื่อเราทุ่มไปตรงนั้น

ปรากฏว่าได้ผล การรับรู้ของผู้บริโภค ของลูกค้า เราสามารถเข้าถึง เมื่อเราเริ่มสื่อสารทางออนไลน์แล้ว จากนั้นก็เริ่มการขายผ่านช่องทางออนไลน์ ลูกค้าสามารถเลือกรถ สินค้า อุปกรณ์ทุกอย่างได้ทางออนไลน์ ติดต่อกันผ่านออนไลน์ ทั้งจองรถ โอนเอง ผมมองว่าตรงนี้จะเป็นพื้นฐานค่อย ๆ เติบโตขึ้น อันนี้ที่เราเรียกนิวนอร์มอล ผมมองว่าต่อไป คนจะเริ่มเกิดความเคยชิน เมื่อโควิดหายไปแล้ว คนก็จะเริ่มปรับตัวเข้าสู่สิ่งเหล่านี้

“จัมพ์สตาร์ต” เร็วกว่ากำหนด

สิ่งที่ต้องเตรียมอีกอย่างหนึ่งของผู้ผลิต ผู้ประกอบการ ตั้งแต่วันแรกที่รัฐบาลประกาศล็อกดาวน์ เรามานั่งคุยกันก่อนที่จะแยกย้ายไปทำงานบ้านใครบ้านมัน เรามีการทำโปรเจ็กต์ที่เรียกว่า “จัมพ์สตาร์ต”

“จัมพ์สตาร์ต” คือ สิ่งที่เรามองว่าเมื่อไหร่ ที่ปลดล็อกดาวน์แล้ว เราจะสามารถทำอะไรได้บ้าง จริง ๆ ก็คือ หลักปฏิบัติ 5 ปี ที่เราต้องมาดูว่า เซอร์วิส โปรดักต์ เราทำอย่างไรบ้าง ในฝั่งของการตลาดต้องทำอย่างไรบ้าง สุดท้ายต้องบอกว่า ในส่วนของออดี้นั้นที่ผ่านมาถึงวันนี้ เรียกว่าพอไปได้ ไม่ได้แย่กว่าที่คิด หรือไม่ได้แย่ถึงขนาดที่เราคิด เพราะปีที่ผ่านมา “คุณกฤษฎา” เคยให้นโยบายไว้ว่า สินค้าของออดี้นั้นจะต้องจูงใจ และสามารถเข้าถึงได้ เราปรับพอร์ตโปรดักต์เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราต้องการเรียนรู้ คือ ออนไลน์สำคัญ แล้ว 2.ต้องเร็ว ฟื้นให้เร็วที่สุด วันนี้สถานการณ์จะค่อย ๆ ดีขึ้น ส่วนจัมพ์สตาร์ตเราไม่รู้ว่าได้เริ่มไปตอนไหน แต่ว่าเราได้เดินไปแล้ว

คีย์ซักเซสอุตฯยานยนต์

กลไกตลาดถือเป็นสิ่งสำคัญ เราไม่ได้มองในเรื่องของภาษี หรือตัวกระตุ้นอย่างอื่น เพราะสุดท้ายไม่ว่าเราจะกระตุ้นด้วยอะไรก็แล้วแต่ ถ้าดีมานด์ของตลาดไม่มี มันก็ไม่เกิดอยู่ดี แต่เราเชื่อว่าอนาคตโควิดไม่ได้หายไปง่าย ๆ คนที่ออกมาทำงานในภาวะปกติ ถ้าคนที่พอมีกำลังก็อาจจะหลีกเลี่ยงการใช้รถสาธารณะ อย่างน้อยอยู่ในรถของตัวเอง โซนของตัวเอง น่าจะปลอดภัยกว่า

เศรษฐกิจที่ลงไปในวันนี้ ไม่เฉพาะแค่ไทยประเทศเดียว แต่มันลงไปทั้งโลก คนไหนที่จะไปรอด ไปได้ สุดท้ายผู้บริโภคคือคนตัดสินใจ กำลังการซื้อ ดีมานด์มันน้อยลงอยู่แล้ว แต่สุดท้ายทุกอย่างอยู่ที่ผู้บริโภค ตอนนี้เราแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มแรกที่มีความจำเป็นจะต้องซื้อรถ อาจจะชะลอได้แค่เดือนถึงสองเดือน อันนี้คือสิ่งที่เขาจำเป็นต้องใช้ กับกลุ่มที่ 2 กลุ่มที่รอได้กว่าจะมีความชัดเจน ซึ่งรอให้มีวัคซีน เพื่อเพิ่มความมั่นใจว่ามียารักษา เพื่อกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติได้ ไม่ใช่ว่ามีวัคซีนแล้วเศรษฐกิจจะกลับมา ยังต้องใช้เวลาอีกระยะ

วอนรัฐเพิ่มความชัดเจน

มีคนถามผมว่า อยากได้อะไรจากรัฐบาลบ้าง ตอบได้เลยครับว่า ความชัดเจน เนื่องจากเราต้องทำหลาย ๆ อย่าง ถ้ากระตุ้นบางอย่างออกมาแล้วไม่เวิร์กก็ไม่ใช่ทาง วันนี้ทุกคนได้รับผลกระทบหมด แต่ตรงไหนจะเกิดประโยชน์กับประชาชนมากกว่า

วันนี้สิ่งแรกที่เห็นด้วยกับรัฐบาล คือสุขภาพมาก่อนอันดับแรก ถ้าสุขภาพ ความปลอดภัยของทุก ๆ คนมาแล้ว ทุก ๆ อย่างจะค่อย ๆ ถูกเรียกความมั่นใจตามมา แต่ต้องไม่ลืมว่า เศรษฐกิจก็สำคัญ