เอ็มจี อีวี เมดอินไทยแลนด์ อดใจรอไม่เกิน 3 ปี

สัมภาษณ์พิเศษ

แบรนด์ “เอ็มจี” ถือเป็นค่ายรถยนต์ยักษ์จากแดนมังกร ที่เข้ามาบุกเบิกทำตลาดในบ้านเราแล้วประสบความสำเร็จอยู่ในระดับที่น่าพอใจเพียงแค่ 5 ปีแรก มียอดขายทะลุ 50,000 คัน วันนี้ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ต้องได้เห็นโลโก้ “เอ็มจี” วิ่งกันเกลื่อนเมือง และจากนี้อีกไม่เกิน 4-5 ปี ยอดขายจะขึ้นไปแตะระดับ “แสน” คันต่อปี

วันนี้ “ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ “พงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ถึงปัจจัยความสำเร็จและการต่อจิ๊กซอว์สู่เป้าหมายการใช้ประเทศไทยเป็น “ฮับ” 3 ด้านใหญ่ ๆ 1.ฐานการผลิตรถในภูมิภาคอาเซียน 2.ฐานการผลิตรถพวงมาลัยขวา และฐานการผลิตรถยนต์อีวี

Q : ปัจจัยที่ทำให้ประสบความสำเร็จ

หากจะย้อนกลับไปถึงคีย์ซักเซสของเอ็มจี เรามี 2 ประเด็นหลัก คือ1.ตัวสินค้า และ 2.เครือข่ายการจัดจำหน่าย “สินค้า” นั้น เรามุ่งเน้นที่เรื่องของการดีไซน์ เทคโนโลยี ราคาและคุณภาพ ต้องมาด้วยกัน ย้อนกลับเมื่อครั้งเราเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยครั้งแรก เราเปิดตัวด้วยรถยนต์นั่ง เอ็มจี6 จากนั้นตามมาด้วย เอ็มจี3 ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ได้รับการยอมรับทางการตลาดอย่างชัดเจน เพราะเอ็มจี เรานำเสนอเรื่องของแวลู และเข้ามาแทรกอยู่ในตลาดรถยนต์อีโคคาร์ และบี-คาร์ได้อย่างเหมาะเจาะ จุดเปลี่ยนสำคัญอีกจุดหนึ่งคือการเปิดตัวเอสยูวี เอ็มจีแซดเอส ที่มาพร้อมจุดเด่น
ไอสมาร์ท และราคาจำหน่ายที่เหมาะสม คุณภาพการประกอบที่ดีขึ้น ทำให้รถ
คันนี้เป็นรถบี-เอสยูวี ที่มียอดขาย และสร้างชื่อให้กับเอ็มจีอย่างมาก

ปัจจุบัน เอ็มจี ได้วางแกนหลักในการนำเสนอสินค้าไว้ 3 ด้าน คือ 1.ดีไซน์ทันสมัย 2.เทคโนโลยีโดดเด่น 3.คุณค่าที่มอบให้กับลูกค้า ล้วนแต่เป็นส่งที่เราจะละเลยไปไม่ได้ ส่วนเครือข่ายการจำหน่ายนั้นเรามุ่งเน้นเรื่องของการให้บริการหลังการขายและบริการด้านการขายเป็นหลัก อย่างจุดเริ่มที่เราเข้ามาทำตลาดเริ่มจากการมีโชว์รูมและศูนย์บริการเพียง 15 แห่ง ก่อนจะเพิ่มเป็น 30, 50, 70, 100, 120 และ 150 แห่งในปัจจุบัน

ปีนี้คาดว่าจะเพิ่มเป็น 170 แห่ง นี่คือความตั้งใจของเรา เพื่อให้ สินค้าและบริการ ของเอ็มจีเข้าไปถึงลูกค้าได้มากที่สุด ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยนั้นถือเป็นตลาดที่มีการแข่งขันแบบสมบูรณ์ ดังนั้นเราซึ่งถือเป็นแบรนด์น้องใหม่จึงต้องมีความพร้อมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเครือข่ายการจัดจำหน่าย จำนวนโชว์รูมและศูนย์บริการ เพราะมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการตัดสินใจซื้อรถยนต์ของคนไทย ซึ่งเราก็สามารถตอบโจทย์ลูกค้าตรงนี้ได้ โดยใช้คุณภาพการทำงานของเครือข่ายการจัดจำหน่าย และบริการหลังการขายเข้ามานำอย่างเรื่องของการรับประกันคุณภาพสินค้าที่ยาวนานขึ้น เอ็มจีให้ถึง 4 ปีหรือ 120,000 กิโลเมตร ซึ่งให้มากและอาจจะให้มากกว่าค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นบางรายด้วยซ้ำ

นอกจากนี้เอ็มจียังมีรถโมบายเซอร์วิสไว้รองรับความต้องการของลูกค้ามีระบบคอลเซ็นเตอร์ผ่านหมายเลข 1267 เพื่อเป็นอีกช่องทางในการอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า

Q : ปรับตัวรับการแข่งขันที่รุนแรงอย่างไร

เมื่อวันที่ 5 เดือน 5 เอ็มจีเพิ่งเปิดตัวบริการใหม่ ขายรถยนต์ออนไลน์ ผ่าน www.mgcars.com โดยเราได้นำรถเอ็มจี เอชเอส รุ่นดี (HS D) มานำร่องทำตลาดก่อน 1 รุ่นเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าก่อน เพราะส่วนธุรกิจของเอ็มจีนั้นธุรกิจหลักของเราอยู่ที่ออฟไลน์ คือตัวแทนจำหน่าย 150 แห่งทั่วประเทศ ส่วนธุรกิจออนไลน์เป็นตัวเข้ามาเสริม

อย่างไรก็ตาม นโยบายยังเน้นธุรกิจออฟไลน์ต้องอยู่ได้ และแน่นอนว่าเราจะต้องผสมผสานทั้ง 2 ตัว ภายใต้รูปแบบ O2O หรือ Online to Offline หรือจะเรียกว่า การตลาดแบบผสมผสานทุกช่องทางหรือ Omni-Channel ก็ได้ เพื่อรองรับบริการและเข้าถึงลูกค้าได้ทุกช่องทางทุกเวลา อย่างตอนนี้มีลูกค้าให้ความสนใจจองรถผ่านช่องทางนี้ 40 คัน ซึ่งต้องยอมรับว่ามีลูกค้าบางรายที่เข้ามาให้พนักงานขายช่วยกดจองให้ที่โชว์รูมแม้ตัวเลขยอดจองจะไม่ถึงเป้าหมายที่น่าพอใจเท่าไร ก็ถือเป็นการเริ่มดำเนินการที่ดี และเราเองก็จะต้องพัฒนารูปแบบบริการให้มากขึ้น อนาคตอาจจะมีรุ่นพิเศษ, รถรุ่นใหม่ หรือเซอร์วิสแพ็กเกจต่าง ๆ จะมาเปิดรับจองผ่านช่องทางนี้

Q : เป้าหมายสู่การเป็น “ฮับ” ยังอีกไกลแค่ไหน

สิ่งสำคัญอันดับต้น ๆ หลังจากบริษัทแม่ตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย คือนโยบายที่ชัดเจนคือ ต้องการให้ ประเทศไทย เป็นฐานการผลิต หรือ “ฮับ” รถยนต์พวงมาลัยขวา ซึ่งขณะนี้เราได้ดำเนินการสำเร็จไปแล้ว

สเต็ปต่อมาคือการให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์เอ็มจี หรือ “ฮับ” เพื่อรองรับความต้องการของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ วันนี้เราเริ่มมีการผลิตรถยนต์เพื่อรองรับตลาดส่งออกแล้ว ไปยังอินโดนีเซีย เวียดนาม และอนาคตเราก็ยังเตรียมเปิดตลาดไปยังออสเตรเลียด้วย ซึ่งเขาให้ความสนใจในส่วนของรถยนต์นั่งรุ่นใหม่ที่จะเปิดตัวในบ้านเราเร็ว ๆ นี้ และสเต็ปถัดไปคือผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิต หรือฮับรถยนต์อีวี เพื่อรองรับความต้องการของเทรนด์รถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในที่ค่อย ๆ หมดไปในอนาคตด้วย วันนี้เอ็มจี ประเทศไทยอยู่ระหว่างการวางแผนรายละเอียดต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม

Q : มีโอกาสได้เห็นรถอีวีที่ผลิตในประเทศไทย

ขณะนี้เราได้ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอไปแล้ว และจากเป้าหมายการเป็น “ฮับ” ทั้ง 3 ด้านของเราแน่นอนว่าเอ็มจีจะต้องเดินไปสู่การเป็นฮับผลิตรถยนต์อีวีของภูมิภาค ดังนั้นใน 2-3 ปีจากนี้มีความเป็นไปได้ว่าจะเริ่มเห็นรถยนต์อีวีโมเดลแรกจากโรงงานเอ็มจี ระยอง


สุดท้ายเมื่อให้ “พงษ์ศักดิ์” ช่วยนิยามความสำเร็จของ “เอ็มจี” ที่ผ่านมานั้น เขาบอกอย่างชัดเจนและเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นว่า…วันนี้เอ็มจีมองว่าตัวเองยังไม่สำเร็จ ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยยังมีผู้เล่นหลัก ๆ ไม่กี่รายที่เบอร์ 1-3 มียอดขายรวมกันก็กินส่วนแบ่งในตลาดไปแล้วกว่า 80% เอ็มจียังเป็นเพียงผู้เล่นรายหนึ่งในกลุ่มที่ไม่ใช่ผู้นำตลาดถ้าเราอยากเข้าไปอยู่ตรงนั้น มันยังไม่สำเร็จ แต่วันนี้ เอ็มจี มายืนอยู่ในจุดที่ทำให้ลูกค้าชาวไทยได้รู้จักแบรนด์และสินค้าเอ็มจีแล้ว ซึ่งถือเป็นเรื่องดี