นิสสันเรียกคืนตำแหน่งท็อป5 ทุ่มพันล้านรีโนเวตโชว์รูมศูนย์บริการ

นิสสันรื้อหลังบ้าน ส่งโชว์รูมรูปแบบใหม่ NRC Next ประเดิม 2 สาขา ออโต้ แกลเลอรี่ ปทุมธานี, ช เอราวัณ ศาลายา ทุ่มพันกว่าล้าน พรึ่บ 170 แห่งทั่วประเทศภายใน 3 ปี ทวงคืนพื้นที่ขายหวังติดท็อปไฟฟ์

นายอิซาโอะ เซคิกุจิ ประธาน บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงแผนงานของบริษัทว่า ปีนี้นิสสันได้เริ่มดำเนินการพัฒนาปรับปรุงโชว์รูมและศูนย์บริการภายใต้มาตรฐานรูปแบบใหม่ Nissan Retail Concept (NCR Next) โดยได้เริ่มต้นที่โชว์รูมนิสสัน ออโต้ แกลเลอรี บี มอร์ จังหวัดปทุมธานี เป็นสาขาแรก ซึ่งได้เปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ส่วนอีกแห่งคือ ช เอราวัณ ศาลายา

โดยบริษัทมีแผนจะทยอย ปรับปรุง และรีโนเวตโชว์รูมและศูนย์บริการทั่วประเทศที่มีสาขาอยู่ 175 แห่งทั่วประเทศให้เป็นไปตามมาตรฐานใหม่ โดยเบื้องต้นบริษัทตั้งใจว่าจะสามารถปรับปรุงโชว์รูมและศูนย์บริการรถรูปแบบใหม่ ให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ 2024 แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับความพร้อมของตัวแทนจำหน่ายแต่ละรายด้วยว่าพร้อมและสามารถเปลี่ยนแปลงได้เร็วแค่ไหน

เบื้องต้นบริษัทจะเป็นผู้พิจารณาว่าโชว์รูมใด หรือดีลเลอร์รายใดที่มีความพร้อมที่จะดำเนินการปรับปรุงก่อน ซึ่งแต่ละโชว์รูมจะใช้งบประมาณแตกต่างกันไปประมาณ 5-7 ล้านบาท ทั้งหมดกว่าพันล้านบาท

“ปีนี้เนื่องจากติดการแพร่ระบาดของโควิด ทำให้อาจจะยังปรับปรุงโชว์รูมได้ไม่มากนัก แต่อย่างไรเราตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปีจากนี้หรือภายในปีงบประมาณ 2024 โชว์รูมนิสสันทั่วประเทศ ทั้งขนาด S, M, L จะเปลี่ยนตามมาตรฐานใหม่ครบทุกแห่งอย่างแน่นอน ที่สำคัญเราจะเน้นความพร้อมของดีลเลอร์เป็นหลัก จะมีการเจรจาเป็นราย ๆ ไป”

นอกจากนี้นายเซคิกุจิยังเปิดเผยว่า นิสสัน ไทยแลนด์จะมุ่งเน้นนโยบายสร้างความเข้าใจ และรับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะของตัวแทนจำหน่ายทั้ง 67 รายเป็นสำคัญ เพื่อให้ดีลเลอร์สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีความสุข และสามารถประคองธุรกิจไปได้อย่างราบรื่นในสถานการณ์ปัจจุบัน ควบคู่ไปกับความพยายามของนิสสันที่จะต้องรักษาห่วงโซ่อุปทาน ทั้งการผลิตและการขาย สำหรับประเทศไทย ให้ราบรื่นทั้งระบบ

โดยนิสสันหวังว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะมีการฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิดในเร็ววัน และปัจจุบันเชื่อว่ายังมีคนที่ต้องใช้รถยนต์อยู่ และนิสสันมองเห็นโอกาสว่าลูกค้าชาวไทยมีกลุ่มผู้ที่ต้องการซื้อรถยนต์เป็นคันที่ 2 และนิสสันหวังว่าจะตอบสนองความต้องการลูกค้าในไทยและอาเซียนได้

ส่วนความคืบหน้าในการนำเข้าและทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยนั้น แม้ว่าขณะนี้ประเทศไทยรัฐบาลไทยจะมีความชัดเจนแล้ว ว่าทุกคนมุ่งหน้าไป แต่ต้องระวัง วิธีการบริการจัดการ การเปลี่ยนจากรถเดิมไปเป็นอิเล็กทริกหรือรถอีวี เนื่องจากต้องไม่ลืมว่าประเทศไทยเป็นประเทศฐานการผลิต และศูนย์กลางการส่งออกรถยนต์อยู่ด้วย นิสสันต้องการทำผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าต้องการ

“ประเทศไทย รถอีวี ยังต้องค่อยเป็นค่อยไป ไม่เหมือนบางประเทศ และต้องไม่ลืมในญี่ปุ่น ใช้เวลา 10 ปี ในการทำตลาดก็ยังมีจำนวนน้อย เนื่องจากขาดโครงสร้างพื้นฐาน และผู้บริโภคที่ต้องการเปลี่ยนแปลงอาจจะต้องใช้เวลาอีกระยะ โดยเฉพาะเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ให้กระจายครอบคลุมการใช้งานก่อน”

สำหรับเป้าหมายของนิสสันประเทศไทยนั้น บริษัทต้องการขึ้นเป็นผู้จำหน่ายรถยนต์ติดอันดับท็อปไฟฟ์อย่างต่อเนื่องและเร็วที่สุด ขณะที่ยอดขายรถยนต์ปีนี้คาดว่าจะมีความต้องการลดลงเหลือเพียง 7-7.5 แสนคันเท่านั้น จากเดิมที่มองว่าจะมีความต้องการใกล้เคียงปีก่อนที่ 8 แสนคัน โดยปัจจัยหลักเป็นผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด และปัญหาขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ (ชิป) ที่จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามอง