นิชคาร์รื้อโครงสร้างราคาใหม่ รับมือบาทอ่อนทุ่มเสริมแกร่งบริการหลังขาย

“นิช คาร์” โอด “บาทแข็งค่า” กระทบโครงสร้างราคา ตัดสินใจปรับขึ้นราคาขาย “แมคลาเรน” ในรอบ 8 ปี ดีเดย์ 1 พ.ย. ส่วนขายรถทั้งปียังมั่นใจ โควิดไม่ระคาย เชื่อขายทะลุเป้า 35 คัน พร้อมเทงบฯ 10 ล้าน เสริมแกร่งหลังการขายสร้างความพอใจลูกค้าสูงสุด

นายวิทวัส ชินบารมี กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิช คาร์ กรุ๊ป จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายซูเปอร์คาร์แมคลาเรน, รูฟ และปากานี เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงปัญหาค่าเงินบาทอ่อนตัวในช่วงที่ผ่านมาว่า ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจมาก และเตรียมพิจารณาปรับขึ้นราคาขายซูเปอร์คาร์ โดยเฉพาะแมคลาเรน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป

หลังจากก่อนหน้านี้ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่เข้ามาทำตลาด บริษัทยังไม่เคยปรับขึ้นราคาแมคลาเรนแต่อย่างใด เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา อัตราแลกเปลี่ยนโดยเฉพาะค่าเงินปอนด์ เมื่อเทียบกับค่าเงินบาทแข็งค่าค่อนข้างมาก ซึ่งบริษัทไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไป 20-30% ได้ไหว ทำให้ต้องตัดสินใจประกาศปรับขึ้นราคา

“เดิมก่อนหน้านี้เราสามารถรแบกรับความเสี่ยงไว้ได้ แต่ต้องบอกว่าอัตราค่าเงินรอบนี้ค่อนข้างสาหัสจริง ๆ ปกติค่าความเสี่ยงที่เราแบกรับได้ 2-3 บาท ไม่มีปัญหา แต่รอบนี้ปรับขึ้นมาค่อนข้างเยอะ ทำให้เราเองก็ต้องขยับตาม ซึ่งราคาที่ปรับขึ้นนั้นก็ขึ้นอยู่กับรุ่น กับโมเดลด้วย” นายวิทวัสกล่าว

ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจสำหรับปีนี้ บริษัทจะไม่ได้เน้นโหมทำตลาดมากนักหลังจากประเทศไทยเริ่มกลับมาผ่อนคลายมาตรการความเข้มข้นในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งบริษัทจะเน้นการทำตลาดเจาะเข้าไปเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรง ซึ่งจะมีประสิทธิภาพมากกว่าหลังจากช่วงที่ผ่านมาที่การดำเนินงานต่าง ๆ ต้องหยุดชะงักไปเป็นระยะเวลากว่า 1 ปี เนื่องจากสถานการณ์โควิด

แต่ทั้งนี้ บริษัทได้เตรียมแผนและความพร้อมเพื่อรับมือ หากเกิดการระบาดระลอกใหม่ เพื่อให้ธุรกิจสามารถประคองตัวผ่านไปได้หากเกิดสถานการณ์ขึ้นอีกครั้ง ควบคู่ไปกับการเดินหน้าพัฒนางานบริการหลังการขาย เพื่ออัพเดตบริการ และฝีมือช่างอย่างต่อเนื่อง

โดยในปีนี้บริษัทได้ลงทุนมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท เพื่อซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์พิเศษสำหรับตรวจเช็กรถยนต์ ระบบ GPS เพื่อให้สามารถรู้โลเกชั่น และสถานการณ์การซ่อมของรถยนต์แมคลาเรน ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นใดก็ตาม

รวมถึงการพัฒนาทีมช่าง แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะไม่สามารถเดินทางไปเข้าคอร์สอบรมในหลักสูตรต่าง ๆ ได้ แต่บริษัทได้มีการประสานงานบริษัทแม่ในการอบรมผ่านออนไลน์ เพื่อพัฒนาศักยภาพความรู้และความสามารถของทีมช่างอย่างต่อเนื่อง และการรีคอลระบบความปลอดภัยต่าง ๆ อยู่เสมอ

นอกจากนี้ ลูกค้าแมคลาเรนสบายใจได้กับมาตรการการดูแลรถยนต์ และอะไหล่ให้กับลูกค้า เนื่องจากบริษัทใช้ระบบแอร์เฟรต ซึ่งจะสามารถดำเนินการสั่งอะไหล่ให้กับลูกค้าได้ในระยะเวลาเพียง 2-3 วันเท่านั้น

สำหรับเป้าหมายยอดขายในปีนี้ สำหรับแมคลาเรนคาดว่าจะมียอดขายที่ 35 คัน จากปัจจุบันที่ทำได้แล้ว 30 คัน และเหลืออีก 5 คัน กับระยะเวลาที่เหลือ คาดว่าน่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน

ยอดขายหลัก ๆ จะเป็นรุ่น ARTURA มากถึง 20 คัน ส่วนที่เหลือเป็นรุ่นต่าง ๆ คละกันไป ทั้งในกลุ่ม GT, SUPER SERIES, ULTIMATE อย่างรุ่น ARTURA นั้น มีกำหนดระยะเวลาส่งมอบยาวไปถึงปีหน้าแล้ว

นายวิทวัสกล่าวถึงเป้าหมายยอดขายในปี 2565 ว่า บริษัทตั้งเป้าจะมีอัตราการเติบโตอย่างน้อย 10% จากปีนี้ หรือราว 40 คัน น่าจะเป็นไปได้อย่างแน่นอน ส่วนรถยนต์อีก 2 ยี่ห้อที่อยู่ในความดูแลของนิช คาร์นั้น โดยเฉพาะรูฟ นายวิทวัสกล่าวว่า ขณะนี้บริษัทยังไม่ได้มีการเปิดตัวเพื่อทำตลาดอย่างเป็นทางการ เนื่องจากบริษัทแม่เองก็ยังมีคิวในการผลิตรถเพื่อส่งมอบให้กับลูกค้าทั่วโลกในจำนวนจำกัด เช่นเดียวกับ “ปากานี” ที่ขนาดของเครื่องยนต์เมื่อเทียบกับอัตราภาษียังค่อนข้างสูงมากในปัจจุบัน