งานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

คอลัมน์ : SD Talk
สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (UNGCNT)

“green job” หรือ “งานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” คืองานที่มีส่วนช่วยอนุรักษ์หรือฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นงานในภาคส่วนแบบดั้งเดิม เช่น การผลิต และการก่อสร้าง หรือในภาคส่วนสีเขียวที่เกิดขึ้นใหม่ เช่น พลังงานหมุนเวียน และประสิทธิภาพการใช้พลังงานที่จะมีลักษณะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงาน และวัตถุดิบจำกัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ลดของเสียและมลพิษให้เหลือน้อยที่สุด ปกป้อง และฟื้นฟูระบบนิเวศ ซึ่งสนับสนุนการปรับตัวต่อผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นสายงานอาชีพที่มีจุดประสงค์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

จาก COP26 Paris Agreement รัฐบาลทั่วโลกได้ปฏิญาณตนร่วมกันว่า ต่อจากนี้ทุกประเทศจะต้องสนับสนุนผู้คนที่กำลังทำให้โลกยั่งยืน หรือสายอาชีพงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ทั่วโลกจึงมีความต้องการแรงงานที่มีทักษะที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจสีเขียวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

World Economic Forum รายงานว่า สัดส่วนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (green job) เพิ่มขึ้นถึง 38 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2015 โดยประเทศสหรัฐอเมริกาครองแชมป์คนทำงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากที่สุดในทุกสายอาชีพ จำนวนพนักงานด้านพลังงานหมุนเวียน และสิ่งแวดล้อมในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นสูงถึง 237 เปอร์เซ็นต์ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่พนักงานด้านน้ำมันและก๊าซเติบโตขึ้นเพียง 19 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

สถานการณ์ในประเทศไทยเองก็มีจุดชี้ชัดว่างานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกำลังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ภาคธุรกิจที่กำลังปรับตัวก่อนใคร ได้แก่ ธุรกิจพลังงานและเคมี ธุรกิจอาหารและเกษตร ธุรกิจสุขภาพ ธุรกิจท่องเที่ยวและการโรงแรม

ที่ผ่านมาภาคธุรกิจเหล่านี้ได้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติในการดำเนินธุรกิจมากกว่าภาคธุรกิจอื่น ๆ หากไม่ปรับตัวตอนนี้ ในอนาคตอาจสูญเสียกำไรและโอกาสการเติบโตเป็นอย่างมาก

ทุกวันนี้รัฐบาลไทยพยายามสนับสนุนให้เกิดตำแหน่งงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมผ่านนโยบายต่าง ๆ ที่สร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการทุกภาคอุตสาหกรรมลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้น เช่น งดเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักร ผลักดันธนาคารให้ปล่อยเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ไปจนถึงสนับสนุนการติดตั้งโซลาร์เซลล์ ตลอดจนแหล่งผลิตพลังงานสะอาดอื่น ๆ และเก็บภาษีเพิ่มขึ้น

ADVERTISMENT

หากบริษัทนั้นปล่อยมลพิษสูง โดยสิ่งแรกที่ผู้ประกอบการต้องทำเพื่อปรับตัว เพิ่มความได้เปรียบทางการแข่งขัน และสร้างธุรกิจสีเขียวให้ตอบโจทย์ตลาดในอนาคต คือการลงทุนเพื่อเสริมทักษะ (upskill) ให้พนักงานมีความรู้ความเข้าใจด้านสิ่งแวดล้อมเท่าทันโลก

สำหรับฝั่งแรงงานนี่คือโอกาสใหม่ของคนทำงานทุกคนในเวลานี้ พนักงานสายงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในเมืองไทยยังคงขาดตลาดมาก จนค่าตัวพุ่งสูงขึ้น 3 เท่าจากเดิม โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และพลังงานสะอาด เช่น เจ้าหน้าที่จัดการการท่องเที่ยวฟื้นฟูป่า ช่างเทคนิคที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับกังหันลม ช่างติดตั้งโซลาร์เซลล์ ที่ปรึกษาด้านการใช้พลังงานสะอาด ไปจนถึงช่างเย็บกระเป๋าหนังอีโค่

ตัวอย่างอาชีพเหล่านี้ล้วนคือโอกาสใหม่ของทุกคน

สุดท้ายนี้ เมื่อมองไปยังโลกอนาคต จะเห็นอีกหลายตำแหน่งอาชีพในสาย green job ที่จะเกิดขึ้นในทุกอุตสาหกรรม ซึ่งต้องการแรงงานที่มีทักษะ ความรู้ ความเข้าใจด้านสิ่งแวดล้อม สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) เป็นหนึ่งในองค์กรที่เสริมสร้างบุคลากรด้านงานสีเขียว

นี่จึงเป็นเรื่องของทุกคนทุกฝ่ายที่ต้องร่วมมือกัน ภาครัฐต้องลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ ผ่านนโยบายด้านการศึกษา มหาวิทยาลัยต้องสร้างบุคลากรคนรุ่นใหม่ที่มีความเข้าใจด้านความยั่งยืน รวมถึงบริษัทต่าง ๆ ต้องลงทุนพัฒนาแรงงานด้วย ประเทศไทยจึงจะสามารถก้าวสู่โลกแห่งความยั่งยืนได้อย่างมั่นคง

ประเด็นท้าทายที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่เด่นชัดที่สุดคือ ความพยายามที่จะรักษาอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นให้อยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียส เพื่อสู้กับปัญหาโลกร้อน โดยเฉพาะเปลี่ยนผ่านจากกระบวนวิธีผลิตและการจัดการในรูปแบบเดิม ไปสู่เทคโนโลยีการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น สิ่งที่ตามมาอย่างเห็นได้ชัดคือ การเปิดโอกาสให้ตำแหน่งงานสีเขียว (green jobs) หรืองานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมีจำนวนเพิ่มขึ้น

ตัวอย่างการดำเนินงานจากบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group ที่ให้บริการโซลูชั่นครบวงจรด้านโลจิสติกส์และนิคมอุตสาหกรรมของประเทศไทย และจัดเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำที่มีลูกค้าเป็นบริษัทต่างชาติระดับโลกถึงร้อยละ 85 ทำให้มองเห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิดและล่วงหน้าก่อนใคร

จึงมุ่งเป้าไปสู่องค์กรเทคโนโลยี (technology company) ภายในปี 2024 โดยเน้นกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตแบบยั่งยืน สร้างผลิตภัณฑ์ และบริการใหม่ ๆ รวมถึงเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า และเสริมสร้างการพัฒนาองค์กร โดยมีโครงการที่สำคัญ ได้แก่ green logistics, digital assets (metaverse), digital health tech, circular เป็นต้น

ทั้งยังนำเทคโนโลยีชั้นสูง พร้อมนวัตกรรมเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการปฏิบัติงาน ขณะเดียวกัน ก็ให้ความสำคัญกับคน (people) ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากระบวนการ (process) และยังขับเคลื่อนองค์กรสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น ด้วยการนำวิสัยทัศน์ในเรื่อง “อนาคตของการทำงาน (future of work)” เข้ามาผนวกไว้ในกลยุทธ์การบริหารกำลังคน

เตรียมความพร้อมให้บุคลากรรับมือกับความท้าทายในอนาคตให้ได้ โดยมีการปรับโครงสร้างองค์กร พัฒนา และเพิ่มขีดความสามารถของคนทำงาน สร้างสิ่งแวดล้อมที่ทำงานอย่างมีนวัตกรรม พร้อมกับใช้ข้อมูลเป็นตัวขับเคลื่อน (data driven) ในการบริการ โดยให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง

นับเป็นการพลิกโฉมการทำงานในรูปแบบเดิมสู่การใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรมเข้ามาช่วยในการทำธุรกิจ จะเห็นได้ว่าลักษณะตำแหน่งงานในอนาคตมีความหลากหลายมากขึ้น ต้องการทักษะเฉพาะมากขึ้น มีความรู้ทางเทคโนโลยีมากขึ้น และต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นหนึ่งในสายงานที่มีบทบาทสำคัญในการดูแลสังคมคาร์บอนต่ำ เพื่อสร้างโลกแห่งอนาคตต่อไป